โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 46,276.98 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 20 ต่อปี ของต้นเงิน 29,525.70 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยใช้บัตรเครดิตของโจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2540 และจำเลยไม่เคยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ เงินจำนวน 100 บาท อยู่ในบัญชีออมทรัพย์ โจทก์ไม่มีสิทธินำมาชำระหนี้ โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่โจทก์นำเงิน 100 บาท จากบัญชีออมทรัพย์ของจำเลยมาหักชำระหนี้เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต คดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้วพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์และฎีกาไม่เกินห้าหมื่นบาทและสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง และ 248 วรรคหนึ่ง ตามลำดับ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 เห็นว่า แม้จำเลยใช้บัตรเครดิตเบิกถอนเงินสดไปหลายครั้งก็ตาม แต่การเบิกถอนเงินสดดังกล่าวของจำเลยเป็นกิจการที่รวมอยู่ในกิจการงานบริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกของบัตรเครดิตของโจทก์ โดยโจทก์เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากสมาชิกซึ่งรวมทั้งจำเลยด้วย จึงเป็นการประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ แก่สมาชิก เมื่อโจทก์ชำระเงินไปแล้วเรียกเก็บเงินในภายหลัง จึงเป็นกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำงานต่าง ๆ เรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไป สิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามสัญญาใช้บัตรเครดิตจึงมีอายุความ 2 ปี มิใช่เป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนซึ่งมีอายุความ 10 ปีตามที่โจทก์ฎีกา ส่วนปัญหาที่ว่าโจทก์นำเงิน 100 บาท จากบัญชีออมทรัพย์ของจำเลยมาหักชำระหนี้ของโจทก์เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยโดยเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเลยโดยไม่ย้อนสำนวน ซึ่งข้อเท็จจริงในคดีนี้รับฟังได้ว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์และมีสัญญาการใช้บัตร กล่าวคือให้โจทก์หักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ได้ทันที จำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2540 กำหนดชำระในวันที่ 5 สิงหาคม 2540 หลังจากนั้นไม่ปรากฏว่า โจทก์ยอมให้จำเลยใช้บัตรเครดิตอีก คงมีแต่รายการดอกเบี้ยและค่าปรับจนถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญา แสดงให้เห็นว่าทั้งโจทก์และจำเลยถือว่าสัญญาที่มีต่อกันสิ้นสุดลงในวันที่ 5 สิงหาคม 2540 การที่โจทก์นำเงิน 100 บาท จากบัญชีออมทรัพย์ของจำเลยซึ่งมีมานานแล้วตั้งแต่ผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกมาหักชำระหนี้ในวันที่ 6 สิงหาคม 2541 เป็นการที่นำเงินที่มีอยู่ในบัญชีออมทรัพย์มานานแล้ว นำมาหักชำระหนี้ในวันดังกล่าว โดยปล่อยเวลาให้ผ่านไปถึง 1 ปี และคิดดอกเบี้ยตลอดมา พฤติการณ์นอกจากจะเป็นการไม่ใช้สิทธิของโจทก์ตามข้อตกลงในสัญญาแล้ว ยังเป็นการกระทำที่แสดงให้เห็นว่า โจทก์อาศัยสิทธิที่มีอยู่ตามกฎหมายเป็นช่องทางให้โจทก์ได้รับประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียวโดยคิดดอกเบี้ยระหว่างนั้นและเพื่อจะให้อายุความสะดุดหยุดลงโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับ เช่นนี้ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 5 จึงไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง เมื่อสัญญาการใช้บัตรเครดิตสิ้นสุดลงในวันที่ 5 สิงหาคม 2540 แต่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2542 จึงเกินระยะเวลา 2 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.