โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 70, 148, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายอภิมุขและนายบุญส่ง ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 โดยให้เรียกนายอภิมุขว่า โจทก์ร่วมที่ 1 และเรียกนายบุญส่งว่า โจทก์ร่วมที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 อันเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติตามทางนำสืบที่โจทก์ โจทก์ร่วมทั้งสองและจำเลยไม่ฎีกาโต้แย้งว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 91-5662 กรุงเทพมหานคร มาหยุดที่สี่แยกเพื่อรอสัญญาณจราจรไฟสีเขียว เมื่อได้รับสัญญาณจราจรไฟสีเขียวจำเลยขับรถเคลื่อนออกไปเกิดชนกับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 3ห-1074 ที่โจทก์ร่วมที่ 1 เป็นคนขับ และโจทก์ร่วมที่ 2 นั่งซ้อนท้าย ทำให้รถจักรยานยนต์ล้มได้รับความเสียหาย โจทก์ร่วมทั้งสองได้รับอันตรายสาหัส คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงเกินสมควรจนไม่สามารถหยุดรถหรือชะลอความเร็วของรถให้ช้าลงพอที่จะขับหลบหลีกไม่ชนรถคันอื่นหรือสิ่งอื่นใดที่กีดขวางอยู่ข้างหน้าได้ทัน จำเลยควรใช้ความระมัดระวังในการขับรถคันดังกล่าวข้ามสะพานและจะผ่านสี่แยกซึ่งเป็นทางร่วมทางแยกข้างหน้าด้วยการชะลอความเร็วของรถให้ช้าลงและระมัดระวังไม่ให้รถคันที่จำเลยขับเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์คันที่โจทก์ร่วมที่ 1 ขับอยู่ข้างหน้า แต่จำเลยหาได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอไม่ จำเลยยังคงขับรถด้วยความเร็วสูงเกินสมควรโดยไม่ชะลอความเร็วให้ช้าลงและขับเฉี่ยวชนท้ายรถจักรยานยนต์ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องในข้อสาระสำคัญของการกระทำความผิดว่า จำเลยกระทำประมาทด้วยการขับรถด้วยความเร็วสูงเกินสมควรและไม่ชะลอความเร็วเมื่อถึงสี่แยก แต่ทางพิจารณากลับได้ความว่าจำเลยจอดรถอยู่ที่สี่แยกและเพิ่งขับรถเคลื่อนที่เมื่อได้รับสัญญาณจราจรไฟสีเขียวแล้วชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมที่ 1 เพราะมองไม่เห็นมิใช่เพราะการขับรถเร็วหรือไม่ชะลอความเร็วข้อสาระสำคัญ ศาลต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 215 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยอีก
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง