คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยตกลงผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์รวม 96 งวด หากผิดนัดไม่ชำระงวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความทั้งหมดทันที ให้โจทก์ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 212453 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ทรัพย์จำนอง และทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบถ้วน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงดำเนินการบังคับคดี โดยเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 212453 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด ซึ่งนายวรเดช และนางสาวดวงทิพย์ เป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดดังกล่าว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกันเงินส่วนนี้ให้แก่ผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลในชั้นนี้ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญาจำนอง ต่อมาโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยตกลงผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์รวม 96 งวด หากผิดนัดไม่ชำระงวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความทั้งหมดทันที ให้โจทก์ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 212453 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ทรัพย์จำนอง ซึ่งเป็นที่ดินจัดสรรอยู่ในหมู่บ้านจัดสรร พ. และทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบถ้วน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงดำเนินการบังคับคดี โดยเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 212453 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และแจ้งการยึดไปยังผู้ร้อง ซึ่งเป็นนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรที่ที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ กับให้ผู้ร้องแจ้งหนี้อันเกิดจากค่าใช้จ่ายตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 49 ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ ผู้ร้องได้รับหนังสือฉบับดังกล่าวโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2561 ต่อมาวันที่ 10 พฤษภาคม 2561 ผู้ร้องแจ้งรายการหนี้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคค้างชำระของที่ดินแปลงดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี วันที่ 19 กรกฎาคม 2561 นายวรเดช และนางสาวดวงทิพย์ เป็นผู้ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแปลงดังกล่าวจากการขายทอดตลาดในราคา 3,700,000 บาท จากนั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือลงวันที่ 4 ธันวาคม 2561 แจ้งว่าผู้ร้องยื่นภาระค่าส่วนกลางเกินกำหนดระยะเวลาทางกฎหมาย เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่กันเงินค่าส่วนกลางให้ ทั้งนี้ผู้ร้องมีสิทธิขอบุริมสิทธิต่อศาลได้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอกันส่วนในเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 50 วรรคสาม ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 335 วรรคสี่ และวรรคห้า เป็นบทบัญญัติเพื่อให้หนี้ค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคพร้อมค่าปรับตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดินได้รับการกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไว้เพื่อชำระหนี้ที่ค้างชำระดังกล่าวจนถึงวันขายทอดตลาดแก่นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรก่อนเจ้าหนี้จำนองและให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินแก่ผู้ซื้อโดยกำหนดหลักเกณฑ์ในการขายทอดตลาดที่ดินจัดสรรตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดินว่า ก่อนทำการขายทอดตลาด ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีบอกกล่าวให้นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรแจ้งรายการหนี้ค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคพร้อมค่าปรับตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดินต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำบอกกล่าว เมื่อความปรากฏว่า ก่อนขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 212453 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือบอกกล่าวให้ผู้ร้องแจ้งรายการหนี้ค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคพร้อมค่าปรับภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือแล้ว แต่ผู้ร้องแจ้งรายการหนี้ดังกล่าวล่วงพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำบอกกล่าว ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไว้เพื่อชำระหนี้บำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคพร้อมค่าปรับที่ค้างชำระให้แก่ผู้ร้อง จึงเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการไปตามที่มาตรา 335 บัญญัติไว้ ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาอ้างว่าลูกจ้างที่ดูแลรับผิดชอบที่ทำการของผู้ร้องในขณะนั้นไม่ได้แจ้งให้คณะกรรมการของผู้ร้องทราบว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือถึงผู้ร้อง โดยลูกจ้างคนดังกล่าวมีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตนั้น กรณีไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 15 ที่ศาลฎีกาจะขยายระยะเวลา 30 วัน ให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่อาจใช้สิทธิขอให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 212453 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เพื่อนำมาชำระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชำระแก่ผู้ร้องก่อนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนองได้ ทั้งความปรากฏตามคำขอออกหมายบังคับคดีลงวันที่ 12 มกราคม 2561 ว่า ณ วันที่ 8 มกราคม 2561 จำเลยมีภาระหนี้คงค้างชำระอยู่แก่โจทก์เป็นเงิน 7,371,398.92 บาท แบ่งเป็นต้นเงิน 3,223,150.73 บาท ที่เหลือเป็นดอกเบี้ยกับค่าเบี้ยประกันภัย แต่ที่ดินโฉนดเลขที่ 212453 ขายทอดตลาดได้ในราคาเพียง 3,700,000 บาท น้อยกว่าภาระหนี้ที่จำเลยค้างชำระอยู่แก่โจทก์ ซึ่งเห็นได้อยู่ในตัวว่าเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินรายได้สุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้ว ไม่มีเงินเหลือที่จะจ่ายให้แก่ผู้ร้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยปัญหาข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ