โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 145, 364, 365
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145 วรรคแรก, 364, 365 (2) (3) ประกอบมาตรา 364, 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 15 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365 (2) (3) ประกอบมาตรา 364, 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว มิใช่หลายกรรมต่างกัน ฐานร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน จำคุก 8 เดือน และปรับ 2,000 บาท ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 1,500 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลย 2 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 6 ครั้ง ตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด และให้จำเลยทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 36 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะผู้เสียหาย นางประคองและนางสาววาสนา กำลังนอนหลับอยู่ที่บ้านของผู้เสียหาย จำเลยกับนายสุรศักดิ์และพวกอีก 3 คน ไปเคาะประตูบ้านและเรียกให้ผู้เสียหายเปิดประตู ผู้เสียหายลุกขึ้นไปแง้มประตู จำเลยกับนายสุรศักดิ์ยืนอยู่ที่หน้าประตู ต่อมาจำเลยกับนายสุรศักดิ์เดินเข้าไปในบ้านผู้เสียหาย โดยจำเลยบอกผู้เสียหายว่า นายสุรศักดิ์กับพวกเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและกล่าวว่าผู้เสียหายลักทรัพย์ของจำเลยไป ต่อมาจำเลยกับนายสุรศักดิ์ค้นภายในบ้านและตู้เสื้อผ้าของผู้เสียหาย แต่ไม่พบทรัพย์สินของจำเลย จำเลยกับพวกจึงกลับออกไปโดยพานางสาววาสนาและนางประคองไปด้วย
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกับพวกกระทำความผิดฐานร่วมกันเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควรโดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไปในเวลากลางคืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามปากเบิกความสอดคล้องต้องกัน ข้อเท็จจริงเชื่อว่าจำเลยกับพวกผลักประตูบ้านผู้เสียหายแล้ว จำเลยกับนายสุรศักดิ์เข้าไปค้นบ้านผู้เสียหาย โดยจำเลยแสดงต่อผู้เสียหายว่า นายสุรศักดิ์กับพวกอีก 3 คน เป็นเจ้าพนักงานตำรวจนครบาลบางมดจริง พฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยกับพวกไปเคาะประตูบ้านเรียกผู้เสียหายให้เปิดประตูและเข้าไปค้นบ้านผู้เสียหายในเวลาวิกาล แม้จำเลยกระทำเพื่อค้นหาทรัพย์สินของจำเลยและจำเลยกับผู้เสียหายรู้จักกันมาก่อน แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวกมีสิทธิตามกฎหมายหรือเหตุอันสมควรที่จะเข้าไปค้นแต่อย่างใด จึงเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควรและการที่จำเลยผลักประตูบ้านที่ผู้เสียหายเปิดแง้มเข้าไปโดยแสดงแก่ผู้เสียหายว่า นายสุรศักดิ์กับพวกอีก 3 คน ซึ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้านเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและผู้เสียหายมิได้ขัดขืนหรือห้ามปรามมิให้จำเลยกับนายสุรศักดิ์เข้าไป ก็ถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยกับพวกเข้าไป การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไปในเวลากลางคืนตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานนี้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145 วรรคแรก นั้น เห็นว่า ทางพิจารณาปรากฏว่า ผู้เสียหายกับจำเลยรู้จักกันมาก่อนและผู้เสียหายรู้ว่าจำเลยมิได้เป็นเจ้าพนักงาน วันเกิดเหตุจำเลยมิได้แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานเพียงแต่อ้างว่าพวกของจำเลยเป็นเจ้าพนักงาน การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145 วรรคแรก กรณีจึงต้องยกฟ้องโจทก์สำหรับข้อหานี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน ซึ่งศาลลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานได้เพราะมิได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหานี้แม้จำเลยมิได้ฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145 วรรคแรก ประกอบมาตรา 86, มาตรา 365 (2) (3) ประกอบมาตรา 364 และมาตรา 83 ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน จำคุก 6 เดือน และปรับ 1,200 บาท ฐานร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปบุกรุกเคหสถานของผู้อื่นในเวลากลางคืน จำคุก 2 ปี และปรับ 9,000 บาท รวมจำคุก 2 ปี 6 เดือน และปรับ 10,200 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 8 เดือน และปรับ 6,800 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์