โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหมิ่นประมาทและดูหมิ่นซึ่งหน้านายสุวัฒิชัย ทองรัตน์ ผู้เสียหาย โดยพูดใส่ความผู้เสียหายต่อหน้าบุคคลที่สามว่า "แม่มึงไม่ต้องไปฟัง กูจะเอาอย่างนี้ ถ้าเซ็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คุณเป็นหัวหน้าคนได้อย่างไร ทำงานไม่รับผิดชอบตัดสินปัญหาไม่ได้ พอมีปัญหาก็โยนกันไปโยนกันมา คน ร.ส.พ.ทำงานอย่างนี้เองหรือ" ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 393, 90
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสุวัฒิชัย ทองรัตน์ ผู้เสียหาย ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมเพียงประการเดียวว่า ถ้อยคำที่จำเลยพูดต่อหน้าโจทก์ร่วมตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องนั้นจะเป็นการหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นซึ่งหน้าหรือไม่ ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าวันเกิดเหตุ จำเลยกับนายอำนวย พลเภรีย์ไปหาโจทก์ร่วมที่ห้องทำงานเพื่อให้โจทก์ร่วมลงนาม ในหนังสือรับรองการเบิกค่ารักษาพยาบาลของจำเลย โจทก์ร่วมให้นางสาวจินตนามีสุวรรณ์ นำไปตรวจสอบ จึงเกิดการโต้เถียงกัน จำเลยพูดขึ้นว่า"แม่มึงไม่ต้องไปฟัง กูจะเอาอย่างนี้ ถ้าเซ็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไรคุณเป็นหัวหน้าคนได้อย่างไร ทำงานไม่รับผิดชอบ ตัดสินปัญหาไม่ได้พอมีปัญหาก็โยนกันไปโยนมา คน ร.ส.พ.ทำงานกันอย่างนี้หรือเห็นว่า จำเลยกล่าวถ้อยคำดังกล่าวต่อหน้าโจทก์ร่วมในสถานที่ทำงานของโจทก์ร่วม และในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังปฏิบัติหน้าที่จึงเป็นการสบประมาทโจทก์ร่วม ทำให้โจทก์ร่วมอับอายขายหน้า จำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 แต่ถ้อยคำดังกล่าวข้างต้นเป็นการดูหมิ่นและวิจารณ์การทำงานของโจทก์ร่วมและกล่าวถึงโจทก์ร่วมโดยตรง ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393 ให้ลงโทษปรับจำเลย 1,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์