โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทุกชนิดที่จำเลยปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทบริเวณพื้นที่สีแดง เนื้อที่ 8 ไร่เศษ ที่มีการครอบครองของโจทก์และทายาทอื่น และขนย้ายออกไปให้พ้นจากที่ดินดังกล่าวพร้อมกับทำให้ที่ดินดังกล่าวมีสภาพเรียบร้อยเช่นเดิม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์เป็นผู้ทำการรื้อถอนขนย้ายออกไปด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกต่อไป และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีก 300,000 บาท
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง แต่ให้พิจารณาคดีแพ่งต่อไป
จำเลยให้การและแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามโจทก์และบริวารเข้ามายุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทตามแผนที่พิพาท ส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์ดำเนินการดังกล่าวโดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่าย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 70,000 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ให้ยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 และมีคำขอในส่วนแพ่งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทุกชนิดที่จำเลยปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทแล้วขนย้ายออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมกับทำให้ที่ดินมีสภาพเรียบร้อยดังเดิม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์เป็นผู้ทำการรื้อถอนขนย้ายออกไปด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยเอง กับห้ามจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกต่อไป และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 300,000 บาท คดีส่วนแพ่งจำเลยให้การต่อสู้อ้างกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งมีทุนทรัพย์พิพาทเท่าราคาที่ดินพิพาทรวมกับทุนทรัพย์ในส่วนของค่าเสียหายตามฟ้องโจทก์ เมื่อที่ดินพิพาทมีราคา 250,000 บาท ตามคำแถลงขอชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มของจำเลยฉบับลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2555 และค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเป็นเงิน 300,000 บาท ทุนทรัพย์ของคดีนี้จึงเกินกว่า 300,000 บาท เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องในคดีส่วนแพ่งอันเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญามาด้วย กรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเฉพาะคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์ที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 300,000 บาท ย่อมไม่มีอำนาจรับคดีส่วนแพ่งไว้พิจารณา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 17 ประกอบ มาตรา 25 (4) ศาลชั้นต้นต้องสั่งไม่รับฟ้องคดีแพ่ง การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีส่วนแพ่งจึงเป็นการไม่ชอบ และไม่ก่อสิทธิให้จำเลยอุทธรณ์ฎีกาได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่ชอบเช่นกัน ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของจำเลย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และฎีกาของจำเลย ไม่รับฟ้องคดีส่วนแพ่ง คืนค่าขึ้นศาลทั้งสามศาลให้แก่โจทก์และจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นทั้งสามศาลให้เป็นพับแก่โจทก์และจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะยื่นฟ้องคดีในส่วนแพ่งต่อศาลที่มีอำนาจต่อไป