โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นบุตรนายเป็งสูและนางหว้าแซ่เลี่ยว โจทก์ที่ 5 เป็นมารดานางหว้า จำเลยทั้งสามได้ทำให้เสียหายทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์อันเจ้าพนักงานยึดไว้ หรือสั่งให้ส่งเพื่อเป็นหลักฐานหรือเพื่อการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย กล่าวคือ นายเฮาไล้ แซ่อึ้ง ได้ใช้อาวุธปืนสั้นยิงนายเป็งสูและนางหว้าถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งสามร่วมกัน โดยจำเลยที่ 1 เอาอาวุธปืนสั้นนั้นไปจากนายเฮาไล้ ส่งให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจได้สั่งให้ส่งเพื่อเป็นหลักฐานหรือบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 กลับส่งอาวุธปืนของกลางให้จำเลยที่ 3 เก็บรักษา ในวันเดียวกันนั้นเจ้าพนักงานตำรวจได้มาเอาอาวุธปืนนั้นจากจำเลยที่ 3 เพื่อจะไปดำเนินคดี จำเลยที่ 3 กลับอ้างว่าปืนของกลางสูญหาย โดยจำเลยทั้งสามมีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อไม่ส่งอาวุธปืนของกลางเป็นพยานหลักฐาน หรือเพื่อมิให้บังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือเพื่อช่วยนายเฮาไล้มิให้ได้รับโทษหรือได้รับโทษน้อยลง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 142, 184, 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะข้อหาความผิดตามมาตรา 184 ให้ประทับฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ไว้พิจารณาส่วนข้อหาตามมาตรา 142 ให้ยก
โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งห้าฎีกา
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์นำสืบว่า นายเฮาไล้ได้ใช้อาวุธปืนยิงนายเป็งสูและนางหว้าถึงแก่ความตาย เมื่อจ่าสิบตำรวจสำเภาพบนายเฮาไล้และจำเลยที่ 1 ที่ 2 นั่งรถยนต์สวนทางมา จึงสอบถามจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับอาวุธปืนที่นายเฮาไล้ใช้ยิงผู้ตายว่าปืนอยู่กับใคร ต่อมาจ่าสิบตำรวจสำเภาจะไปยึดอาวุธปืนมาเป็นของกลางได้สอบถามจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ว่าเมื่อรับปืนมาจากจำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 3 เอาปืนไปวางไว้ที่กล่องเบียร์ในบ้านแล้วปืนหายไป จำเลยที่ 2 ก็บอกว่าได้มอบปืนให้จำเลยที่ 3 ไว้จ่าสิบตำรวจสำเภาจึงไม่ได้อาวุธปืนนั้นมาเป็นของกลางในคดี ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบมานั้น โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 142 ได้
พิพากษายืน