โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๐๖ จำเลยได้บังอาจเอาเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท โดยให้ปรับบเงินได้จากธนาคารไทยพัฒนา จำกัด สาขามหานาคได้ตั้งแต่วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๐๖ ของนายบันซิงห์ ดำปีร์ ผู้เสียหายไปโดยทุจรติ แล้วจำเลยได้ทำลายหรือซ่อนเร้นเช็คดังกล่าว อันเป็นการทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย โดยขาดเอกสารในการฟ้องร้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔, ๑๘๘
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๘ ให้จำคุก ๓ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ผู้เสียหายมอบเช็ครายพิพาทให้แก่จำเลย เพื่อให้จำเลยออกเช็คให้ใหม่ เช็ครายพิพาทจึงตกเป็นของจำเลยไปตามข้อตกลงกันใหม่ เมื่อเช็ครายพิพาทตกเป็นของจำเลยแล้ว จำเลยหลบหนีไปพร้อมกับเช็คนั้น ไม่เป็นความผิดทำลายหรือซ่อนเร้นเช็คตามฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินล่วงหน้า ๑๐,๐๐๐ บาท เมื่อเช็คถึงกำหนด ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ทรงคนสุดท้ายได้นำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงิน ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายว่า เงินในบัญชีไม่พอจ่าย ผู้เสียหายจึงไปพบกับจำเลยที่บ้าน จำเลยอ้างว่าขณะนี้ไม่มีเงินจ่ายจะขอเปลี่ยนเช็คให้ใหม่ ผู้เสียหายยินยอมและได้มอบเช็คดังกล่าวให้จำเลย จำเลยเอาเช็คนั้นขึ้นไปชั้นบนของบ้าน แล้วหลบหายไปพร้อมกับเช็คและไม่ได้ออกเช็คให้ใหม่ ดังนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาโดยตรงที่จะเอาเช็คซึ่งเป็นหลักฐานในการฟ้องร้องดำเนินคดีไปจากผู้เสียหาย โดยจำเลยไม่มีเจตนาจะออกเช็คให้แก่ผู้เสียหายเลย การมอบเช็คของผู้เสียหายในลักษณะดังกล่าว จึงไม่ทำให้เช็คพิพาทตกเป็นของจำเลยไปแล้ว ผู้เสียหายจึงคงเป็นผู้ทรงเช็คนั้นอยู่ การเอาไปเสียของจำเลยย่อมทำให้ผู้เสียหายขาดเอกสารที่จะฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมาย นับว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๘ แล้ว พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น