โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวาร และขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๓๔๐๔ เลขที่ดิน ๗๔ ตำบลโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธ์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ ๒,๐๐๐ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ใน ข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๑,๕๐๐ บาท
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า?
ปัญหาที่ว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท นั้น แม้โจทก์จะเคยครอบครองที่ดิน น.ส.๓ ก. เลขที่ ๓๔๐๔ อันเป็นที่ดินพิพาทมาก่อน แต่เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทโดยไม่ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งภายในวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๔๐ จำเลยก็กลับเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ ๒๕๔๑ เป็นต้นมา แสดงว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในวันทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท การครอบครองของโจทก์ดังกล่าว เป็นการครอบครองแทนจำเลย จำเลยจึงยังคงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ ของโจทก์นั้น ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง จึงไม่วินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของโจทก์ทุกข้อ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๖๐๐ บาท แทนจำเลย