โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์จำเลยมีคดีพิพาทกัน  แต่ได้ประนีประนอมยอมความกันและศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว  ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว  จำเลยตกลงยินยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๕๕  และ ๒๐๙  คืนให้แก่โจทก์  โดยโจทก์จำเลยตกลงร่วมกันบริหารโรงเรียน ๓ โรงเรียน  โดยถือว่ากิจการและทรัพย์สินของโรงเรียนเป็นสิทธิและกรรมสิทธิ์อันร่วมกันของโจทก์จำเลย  และเนื่องจากโจทก์จำเลยมีหนี้สินเกี่ยวกับการดำเนินกิจการโรงเรียนดังกล่าวอยู่ โจทก์จึงยินยอมเอาที่ดินดังกล่าวและที่ดินแปลงอื่นไปจำนองเอาเงินมาทดรองชำระหนี้นั้น  และให้นำรายได้จากการดำเนินกิจการโรงเรียนไปผ่อนชำระคืนให้แก่โจทก์  นอกจากนี้โจทก์ยังตกลงยินยอมให้จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๕๕  และ ๒๐๙  เฉพาะส่วนที่ปลูกบ้านเลขที่ ๔๘๖/๓  เนื้อที่ ๒๐๐ ตารางวา  ได้จนตลอดชีวิต  โดยจดทะเบียนสิทธิอาศัยให้แก่จำเลย  และเมื่อหนี้ที่โจทก์ทดรองไปนั้นได้ชำระหมดแล้ว  โจทก์ยินยอมยกกิจการและทรัพย์สินของโรงเรียนทั้งสามให้เป็นสิทธิของจำเลยแต่ผู้เดียว  หากฝ่ายใดผิดสัญญายอมให้อีกฝ่ายหนึ่งบังคับคดีให้เป็นไปตามสัญญานี้  หลังจากตกลงยอมความกันแล้วจำเลยประพฤติผิดสัญญาหลายประการ  เช่นไม่ยอมให้โจทก์เข้าร่วมบริหารกิจการของโรงเรียน  และจำเลยได้ปลูกอาคารเรือนไม้ชั้นเดียวสามห้องลงในที่ดินที่ยอมให้จำเลยอาศัยโดยมิได้ขออนุญาต  จำเลยเพิ่งมาขออนุญาตภายหลังโดยเสนอว่า  จะใช้อาคารดังกล่าวทำเป็นโรงเรียนอนุบาลและยินยอมให้โจทก์บริหารเก็บรายได้ทั้งหมดผ่อนชำระหนี้ตามสัญญายอม  ทั้งยอมให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์  โจทก์จึงอนุญาตไป  แต่ต่อมาจำเลยดำเนินกิจการโรงเรียนอนุบาลดังกล่าวเก็บรายได้ทั้งหมดเป็นประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว  ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๕๕  เฉพาะเนื้อที่ ๒๐๐ ตารางวา  และบ้านเลขที่ ๔๘๖/๓  ห้ามจำเลยมิให้ดำเนินกิจการโรงเรียนอนุบาลดังกล่าว  ทั้งส่งมอบอาคารโรงเรียนและอาคารอื่นที่ปลูกขึ้นในที่ดินที่จำเลยอาศัยให้แก่โจทก์  ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยให้การว่า  จำเลยไม่ได้ประพฤติผิดสัญญายอม  หากจำเลยผิดสัญญายอมก็ชอบที่โจทก์จะไปร้องขอในคดีที่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนั้น  ให้ศาลบังคับจำเลย  จะมาฟ้องขับไล่หรือเลิกสัญญาในคดีนี้ไม่ได้
ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์จำเลย  คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงบางประการ  ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว  จึงให้งดสืบพยานซึ่งโจทก์แถลงคัดค้านไว้  ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว  พิพากษาให้จำเลยส่งมอบอาคารเฉพาะที่จำเลยใช้ทำการเป็นโรงเรียนอนุบาลในบริเวณที่ดินที่จำเลยอาศัยในโฉนดเลขที่ ๘๕๕  ให้แก่โจทก์  คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  ปัญหาตามฎีกาโจทก์ที่ว่า  จะสมควรให้โจทก์ได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อแสดงว่าจำเลยได้ขัดขวางไม่ให้โจทก์เข้าดำเนินการบริหารโรงเรียนอนุสรณ์พานิชย์  โรงเรียนอนุสรณ์พาณิชย์แผนกสามัญ  และโรงเรียนอนุสรณ์ศึกษา  ซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๕๙/๒๕๑๑ หรือไม่  โดยโจทก์อ้างเหตุผลว่า  ถ้าหากโจทก์สามารถนำสืบได้ว่าจำเลยมิได้ปฏิบัติตามสัญญายอมความและคำพิพากษาท้ายยอมแล้ว  ย่อมเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิบังคับตามคำขอท้ายฟ้องในคดีนี้ได้ทุกประการนั้น  ศาลฎีกาเห็นว่า  เมื่อโจทก์ก็ยืนยันอยู่ว่าจะขอสืบพยานเฉพาะในประเด็นที่ว่า  จำเลยขัดขวางไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ  ซึ่งมีคำพิพากษาบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงอยู่แล้วเช่นนี้  กรณีก็ย่อมจะเป็นที่เห็นได้ชัดอยู่ในตัวว่า  ถ้าหากจำเลยขัดขวางไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความอย่างใด  โจทก์ก็ชอบที่จะขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมในคดีเดิมนั้นได้  (คือคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๕๙/๒๕๑๑)  โจทก์จะนำคดีเรื่องเดียวกันที่ศาลชี้ขาดแล้วมาฟ้องขอให้ศาลบังคับเป็นอีกคดีหนึ่ง  โดยอ้างเหตุว่าจำเลยขัดขวางไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาในคดีเดิม  ซึ่งยังมีผลบังคับได้อยู่  ย่อมไม่เป็นการถูกต้อง  ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนไม่อนุญาตให้โจทก์นำสืบตามข้ออ้างของโจทก์นั้น  ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย  ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น  สำหรับกรณีที่เกี่ยวกับเรื่องโรงเรียนอนุบาลบ้านไทยอันเป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อตกลงต่างหากจากสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีเดิมนั้น  จะได้วินิจฉัยไปพร้อมกับฎีกาของจำเลยต่อไปนี้
คดีในส่วนที่เกี่ยวกับโรงเรียนอนุบาลบ้านไทย  โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้ห้ามมิให้จำเลยดำเนินกิจการโรงเรียนอนุบาลบ้านไทยอีกต่อไป  ให้จำเลยส่งมอบอาคารหลังที่ปลูกขึ้นเป็นโรงเรียนอนุบาลบ้านไทยและอาคารอื่น ๆ บริเวณที่ดินที่จำเลยอาศัยในโฉนดเลขที่ ๘๕๕  ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง  โดยโจทก์อ้างเหตุที่จะขอให้บังคับตามคำขอว่า  เพราะจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและผิดข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.๒  ในข้อที่ว่า  จำเลยได้ขัดขวางการที่โจทก์จะเข้าร่วมดำเนินกิจการโรงเรียนอนุบาลบ้านไทยก็ดี  จำเลยไม่นำรายได้จากโรงเรียนอนุบาลบ้านไทยมาผ่อนชำระหนี้ของโจทก์ก็ดี  จำเลยรื้อโรงรถและกรงเหล็กออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ดี  จำเลยปลูกสร้างอาคารขึ้นใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาตก็ดี  และประการสุดท้ายว่าจำเลยก่อกวนความสงบสุขของโจทก์  และเพื่อนบ้านก็ดี  เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ศาลฎีกาเห็นว่าจะต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า  ปัญหาเรื่องการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีเดิมกับการผิดข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยในภายหลังนั้น  เป็นเรื่องที่จะต้องบังคับแยกต่างหากจากกัน  เรื่องผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่อย่างไร  ก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันในคดีเดิม  ดังที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วข้างต้น  ฉะนั้นจึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในขณะที่เกี่ยวกับโรงเรียนอนุบาลบ้านไทย  แต่เฉพาะในประเด็นที่ว่า  จำเลยผิดสัญญาข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.๒ หรือไม่  และจะบังคับให้ตามคำขอของโจทก์ได้หรือไม่เท่ากัน  ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรจะวินิจฉัยปัญหาข้อหลังที่ว่าโจทก์มีสิทธิที่จะบังคับตามคำขอของโจทก์ได้หรือไม่เสียก่อน
ข้อเท็จจริงรับกันแล้วว่า  พฤติการณ์ต่าง ๆ ที่โจทก์อ้างเป็นเหตุเพื่อขอให้บังคับตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์นั้น  เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับที่ดิน ๒๐๐ ตารางวา  ซึ่งโจทก์ได้จดทะเบียนสิทธิอาศัยและภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์  ให้แก่จำเลยแล้ว  ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดธนบุรี  จำเลยจึงเป็นผู้ทรงทรัพย์สิทธิดังกล่าวแล้วโดยชอบด้วยกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๑๔๐๖  ได้บัญญัติให้สิทธิแก่ผู้อาศัยไว้ว่า  ถ้าผู้ใดอาศัยมิได้ห้ามไว้โดยชัดแจ้ง  ผู้อาศัยจะเก็บดอกผลธรรมดาหรือ ๑๔๒๙  บัญญัติว่า  อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภารติดพันอันเป็นเหตุให้ผู้รับประโยชน์มีสิทธิ  ฯลฯ  ได้ใช้และถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งทรัพย์สินตามที่ระบุไว้  ในเรื่องนี้โจทก์ได้จดทะเบียนภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์ไว้ว่า  โจทก์ตกลงยินยอมให้จำเลยอาศัยและทำกินในที่ดินที่พิพาทได้ตลอดชีวิต  คดีนี้โจทก์มิได้ตั้งรูปคดีที่จะฟ้องขอเพิกถอนสิทธิอาศัยและสิทธิภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์  หรือฟ้องโดยอาศัยบทบัญญัติแห่งมาตราต่าง ๆ ในมาตรา ๑๔๐๙ นั้น  ศาลจึงไม่อาจที่จะบังคับตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ได้  ที่ศาลล่างทั้งสองไม่อนุญาตให้โจทก์สืบพยานในประเด็นข้อนี้  ชอบแล้ว  แต่ที่พิพากษาต้องกันให้จำเลยส่งมอบอาคารไม้สองชั้นหนึ่งหลังและอาคารไม้ชั้นเดียวอีกหนึ่งหลัง  เฉพาะที่จำเลยใช้ทำการเป็นโรงเรียนอนุบาลบ้านไทย  ในบริเวณที่ดินที่จำเลยอาศัยในโฉนดเลขที่ ๘๘๕   ให้แก่โจทก์  โดยห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับอาคารสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวอีกต่อไปนั้น  ยังหาต้องด้วยความความเห็นของศาลฎีกาไม่  ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า  ให้ยกฟ้องของโจทก์เสียทั้งสิ้น