ได้ความว่าจำเลยเปนภรรยาผู้ร้อง แต่ได้อย่าขาดกันแล้ว ก่อนอย่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์มา โดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ร้อง ภายหลังจำเลยได้ทำสัญญายอมต่อศาลรับใช้หนี้ให้โจทก์ ในที่สุดโจทก์นำเจ้าพนักงานยึดที่บ้านซึ่งเปนสินบริคณห์ระวางผู้ร้องกับจำเลย ผู้ร้องจึงร้องคัดค้าน และผู้ร้องไม่รับรู้ในหนี้สินรายที่โจทก์ฟ้องนี้ ขอให้ถอนการยึด
ศาลล่างทั้ง ๒ ตัดสินว่าโจทก์มีสิทธิยึดได้เพียงที่เปนส่วนของจำเลย จึงให้ขายที่บ้านเอาส่วนของจำเลยใช้หนี้โจทก์ ๑ ใน ๓ เหลืออีก ๒ ใน ๓ คืนให้ผู้ร้องไป
ผู้ร้องฎีกาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาตัดสินกลับศาลล่างว่า การกู้เงินรายนี้ เมื่อผู้ร้องคือสามีจำเลยไม่ได้ยินยอมก็ต้องถือว่าการกู้เปนโมฆียะตาม ม.๓๘ และปัญหาที่ว่าการที่ผู้ร้องบอกล้างไม่ยอมรับผิดการกู้ของจำเลยภายหลังที่ยอ่ากันแล้วเช่นนี้ได้หรือไม่นั้น เห็นว่าผู้ร้องมีสิทธิบอกล้างไม่รับผิดต่อการที่จะผูกพันสินบริคณห์ได้ เมื่อผู้ร้องได้บอกล้างเช่นนี้ ต้องถือวาการกู้เปนโมฆะมาแต่แรกตาม ม.๑๓๘ สินบริคณห์หาต้องรับผิดชอบไม่ ฉะนั้นโจทก์นำยึดที่บ้านรายนี้ไม่ได้ ส่วนการทีผู้ร้องกับจำเลยอย่ากัน และจะมีส่วนได้ในสินบริคณห์อย่างไรหรือไม่ เปนคนละเรืองกับคดนี้ จึงให้ถอนการยึดที่บ้านรายนี้คืนให้ผู้ร้องไป