โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 8 ก.ค. 97 นายจิตต์จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์เพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัยกำหนด 2 ปี ค่าเช่าปีละ 1,500 บาท ครบกำหนด 1 ปี จำเลยไม่นำค่าเช่ามาชำระให้โจทก์ ๆ เตือนนายจิตต์เฉย โจทก์จึงบอกเลิกการเช่าและให้ออกไปจากที่ดิน นายจิตต์จำเลยทราบแล้วไม่ออก โจทก์จึงฟ้องขับไล่ และเรียกค่าเช่ากับค่าเสียหายจนกว่าจะออกเดือนละ 125 บาท
นายจิตต์จำเลยให้การว่า ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับโจทก์ และโจทก์ตกลงขายที่ดินให้จำเลย เมื่อไปทำหนังสือสัญญาซื้อขาย ทางอำเภอไม่ยอมทำโดยอ้างว่าเป็นที่ดินของรัฐบาล ทางอำเภอได้ให้จำเลยเช่าที่ดินรายนี้ต่อทางการแล้ว
ต่อมา นายอาทิตย์ นายอำเภอระโนดเข้ามาเป็นจำเลย และให้การว่าที่ดินเป็นที่ว่างเปล่าชายตลิ่งคลองระโนด น้ำในคลองขึ้นลงถึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน อยู่ในความดูแลของอำเภอระโนด โจทก์หามีสิทธิอย่างใดไม่ และนายอาทิตย์จำเลยให้นายจิตต์จำเลยเช่าที่รายนี้แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ยึดถือที่ดินไว้เพื่อตน จึงได้สิทธิครอบครองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1368 ขับไล่นายจิตต์จำเลยและบริวารรื้อถอนออกไปจากที่พิพาท และใช้ค่าเช่าโจทก์เป็นเงิน 1,875 บาท ค่าเสียหาย 500 บาท กับค่าเสียหายที่โจทก์ขาดประโยชน์นับแต่วันที่ 8 ต.ค. 98 เดือนละ 125 บาท จนกว่าจะออกไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า ที่ดินเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนายอาทิตย์จำเลยให้นายจิตต์จำเลยเช่าไปแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่นายจิตต์จำเลย และให้นายจิตต์จำเลยชำระค่าเช่าโจทก์เดือนละ125 ยาทนับแต่วันที่ 8 ก.ค. 97 ถึงวันสิ้นปี พ.ศ. 97 กับค่าเสียหาย100 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับนายอาทิตย์จำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน โดยวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นคูอยู่ริมคลองน้ำในคลองขึ้นท่วมถึง คูนี้ชาวบ้านใช้จอดเรือสำหรับขึ้นฝั่งไปสะพานสาธารณะ ซึ่งเป็นประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวมใช้กันมาเป็นเวลาช้านาน จึงถือได้ว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือเรียกว่าทรัพย์นอกพาณิชย์ บุคคลใดจะยึดถือเพื่อตนหรือโอนให้แก่กันมิได้ นอกจากกระทำโดยอาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายหรือพระราชกฤษฎีกาตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305 และเมื่อที่ดินไม่ใช่ของโจทก์ และจำเลยได้มีสัญญาเช่ากับทางอำเภอแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่นายจิตต์จำเลย