โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำชำเราเด็กหญิงสมบูรณ์ ไชยหงษ์ อายุ 11 ปีและกระทำชำเราเด็กหญิงทองใบ บุญชู อายุ 11 ปี จนสำเร็จความใคร่รวม 14 ครั้งโดยเด็กหญิงทั้งสองยินยอมให้จำเลยกระทำชำเรา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 7
จำเลยให้การว่า จำเลยเพียงกระทำอนาจารเท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 7 ประกอบด้วยมาตรา 80ให้จำคุกกระทงละ 2 ปี 8 เดือน รวม 14 กระทงเป็นโทษจำคุก 37 ปี 4 เดือนคำให้การจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3คงจำคุกจำเลย 24 ปี 10 เดือน 20 วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานพยายามกระทำชำเรา1 กระทง 2 ปี และฐานกระทำอนาจาร 13 กระทง กระทงละ 3 เดือน รวม 3 ปี3 เดือน รวมทั้งสิ้น จำคุก 5 ปี 3 เดือน จำเลยให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลย 3 ปี 6 เดือน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรารวม 14กระทงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำและฟ้องซ้อนโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่มีการสอบสวนคดีใหม่ นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าคดีนี้เดิมพนักงานอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 3 (พนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่น) ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลทหารมณฑลทหารบกที่ 3 (ศาลจังหวัดขอนแก่น)แต่ศาลมณฑลทหารบกที่ 3 (ศาลจังหวัดขอนแก่น) ได้พิพากษายกฟ้องเพราะเห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร โจทก์จึงได้ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดขอนแก่นในวันที่ศาลทหารมีคำพิพากษานั้นเอง ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าศาลทหารมณฑลทหารบกที่ 3 (ศาลจังหวัดขอนแก่น) ยกฟ้องโดยเหตุที่คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารที่จะวินิจฉัย ศาลทหารดังกล่าวนั้นมิได้วินิจฉัยถึงความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้แต่ประการใด จึงไม่ใช่เป็นเรื่องฟ้องซ้ำ ทั้งกรณีมิใช่เป็นเรื่องฟ้องซ้อน เพราะขณะยื่นฟ้อง คดีมีได้ค้างพิจารณาอยู่ในศาลและปรากฏว่า แม้คดีนี้ในชั้นเดิมพนักงานสอบสวนจะเข้าใจผิดว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหารแต่เมื่อผู้ทำการสอบสวนก็คือนายตำรวจซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากระทำไปตามอำนาจดังที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498มาตรา 47 วรรคแรกตอนท้าย เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องต่อศาลพลเรือน จึงไม่จำต้องสอบสวนใหม่
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยควรต้องโทษฐานพยายามกระทำชำเรารวม14 กระทง ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และจำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องเพราะไม่มีเจตนาจะข่มขืนกระทำชำเรานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และคำรับของจำเลยต่อศาลแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายทั้งสองรวม 3 ครั้ง ครั้งแรกจำเลยพยายามเอาของลับของจำเลยใส่เข้าไปในของลับของเด็กหญิงสมบูรณ์ ไชยหงษ์ผู้เสียหาย แต่ไม่สามารถจะเข้าไปได้ อีกสองครั้งต่อมาจำเลยได้เอาไข่เป็ดทุบให้แตกแล้วเอาไข่ขาวทาที่ของลับของจำเลยก่อนกระทำชำเราผู้เสียหายทั้งสองคน แต่ก็ไม่สำเร็จอีก ดังนี้ย่อมเห็นการกระทำและเจตนาของจำเลยได้ชัดเจนว่า จำเลยได้ลงมือกระทำชำเราผู้เสียหายทั้งสองคนแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานพยายามกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ประกอบด้วยมาตรา 80 รวม 3กระทงด้วยกัน ส่วนที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายทั้งสองอีกรวม 11 ครั้งนั้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเพียงแต่กระทำอนาจารผู้เสียหายทั้งสองเท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ตามที่ได้แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 7 ประกอบกับมาตรา 80 รวม 3 กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษกระทงละ 2 ปี 8 เดือน รวม 8 ปี ตามมาตรา 91 ตามที่แก้โดยประกาศของคณะปฏิวัติ และมีความผิดฐานกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 9 อีกรวม 11 กระทงให้เรียงกระทงลงโทษกระทงละ 3 เดือน รวม 2 ปี 9 เดือน รวมเป็นโทษจำคุกทั้งสิ้น 10 ปี 9 เดือน จำเลยให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลย 7 ปี 2 เดือน