โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 83, 91,
352
ให้จำเลยคืนเงิน 9,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา
พันตรี ส. ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 5 ปี 30
เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ
ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 2 ปี 21 เดือน
กับให้จำเลยคืนเงิน 7,960,000 บาท
ที่ยังไม่ได้คืนแก่โจทก์ร่วม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค
4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยกระทงละ 6 เดือน รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 30 เดือน
ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 15 เดือน ให้จำเลยคืนเงิน 1,600,000 บาท แก่โจทก์ร่วม
นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมฎีกา
โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 42 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 40 เพื่อให้ได้ความว่าโจทก์ร่วมถึงแก่ความตายแล้วจริงหรือไม่ และหากโจทก์ร่วมถึงแก่ความตายแล้ว ถึงแก่ความตายเมื่อใด
เสร็จแล้วให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนคืนศาลฎีกา
เพื่อมีคำสั่งหรือมีคำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต่อไป
ในชั้นนี้เห็นสมควรที่จะจำหน่ายคดีส่วนแพ่งออกจากสารบบความของศาลฎีกาก่อน
และพิพากษายืนในคดีส่วนอาญา
ศาลชั้นต้นดำเนินการแล้ว
ได้ความว่าโจทก์ร่วมถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 มีนายไชยมงคล
บุตรซึ่งโจทก์ร่วมให้การรับรองเป็นทายาท
และเป็นคู่ความแทนที่ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 999/2559 หมายเลขแดงที่ 4/2561
ของศาลชั้นต้น จึงอนุญาตให้นายไชยมงคลเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ร่วม
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
โจทก์ร่วมฎีกาว่า จำเลยต้องชดใช้เงินคืนโจทก์ร่วม 7,960,000
บาท ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือไม่
เห็นว่า ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ร่วมแถลงว่าหากจำเลยชดใช้เงินคืนให้ 3,000,000 บาท
โจทก์ร่วมไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยอีก
จึงถือว่าโจทก์ร่วมแสดงเจตนาสละสิทธิเรียกร้องให้จำเลยคืนเงิน 9,000,000 บาท แล้ว
โดยยังติดใจให้คืนเงินเพียง 3,000,000 บาท เท่านั้น
ซึ่งโจทก์ร่วมชอบที่จะกระทำได้ และย่อมมีผลผูกพันโจทก์ร่วม
ต่อมาจำเลยชำระเงินคืนให้โจทก์ร่วม 1,040,000
บาท และคงเหลือเงินต้องชำระคืนอีก 1,960,000
บาท โจทก์ร่วมแถลงต่อศาลอีกครั้งในวันที่ 3 กันยายน 2558
ว่ายินยอมลดยอดเงินที่ยังไม่ได้ใช้คืนจาก 1,960,000 บาท ให้เหลือเพียง 1,600,000 บาท เท่านั้น
ดังนั้นจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินแก่โจทก์ร่วม 7,960,000 บาท ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวนที่ยังไม่ได้คืนอีก 1,600,000 บาท แก่โจทก์ร่วม
จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
ให้จำเลยคืนเงิน 1,600,000 บาท แก่โจทก์ร่วม