โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 55, 72, 87 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางและให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย.15362/2545 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง วางโทษจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย.1536/2545 (ที่ถูก ย.15362/2545) ของศาลชั้นต้น ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์จับจำเลยได้ขณะจำเลยขับรถมาจอดอยู่ในท้องที่และยึดได้เมทแอมเฟตามีนจำนวน 100 เม็ด เป็นของกลาง แล้วมีการสอบสวนขยายผลจนนำไปสู่การขอหมายค้นเพื่อตรวจค้นบ้านที่จำเลยพักอาศัยในวันเดียวกันและพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 26 เม็ด ของกลางในคดีนี้ ในการสอบสวน จำเลยถูกถามว่ามีเมทแอมเฟตามีนเหลืออีกหรือไม่ จำเลยรับว่ามีอีกส่วนหนึ่งเหลือประมาณ 20 เม็ด อยู่ที่บ้าน และในขณะเข้าตรวจค้นที่บ้านของจำเลย จำเลยเป็นผู้หยิบเมทแอมเฟตามีนส่งให้เจ้าพนักงานตำรวจด้วยตนเองจึงรับฟังได้ว่าเมทแอมเฟตามีนทั้งสองส่วนก็คือเมทแอมเฟตามีนจำนวนเดียวกัน โดยจำเลยมีเจตนาครอบครองในคราวเดียวกัน แม้เจ้าพนักงานตำรวจจะตรวจค้นได้ต่างสถานที่กันก็เป็นเพราะการแยกเก็บรักษาหรือซุกซ่อนเท่านั้น เหตุที่มีการตรวจค้นบ้านของจำเลยหลังจากนั้นหลายชั่วโมงเนื่องมาจากกระบวนการในการสอบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจ การขอหมายค้นรวมถึงการประสานงานกับเจ้าพนักงานตำรวจเจ้าของท้องที่ที่บ้านของจำเลย ลำพังการตรวจยึดได้ของกลางต่างเวลากันไม่ทำให้การที่จำเลยมีเจตนาครอบครองเมทแอมเฟตามีนทั้งสองส่วนไว้ในคราวเดียวกันกลายเป็นการกระทำต่างกรรมกัน ทั้งโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดมานำสืบให้เห็นว่า จำเลยได้รับเมทแอมเฟตามีนทั้งสองส่วนนั้นมาคนละคราวอันจะทำให้สามารถแยกเจตนาในการครอบครองเมทแอมเฟตามีนนั้นได้ เช่นนี้การกระทำความผิดของจำเลยในคดีนี้กับในคดีหมายเลขแดงที่ ย.15362/2545 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียว เมื่อจำเลยถูกดำเนินคดีในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำนวน 100 เม็ด และศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดดังกล่าวซึ่งได้ฟ้องแล้ว สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องจำเลยของโจทก์จึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39 (4) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน