คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ที่จำเลยกู้เงินไปผลิตใบยาสูบและซื้อใบยาสูบแก่โจทก์ โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยยอมชำระหนี้จำนวน 20,237,300 บาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์กำหนดผ่อนชำระเป็นงวด ภายในกำหนด 12 ปี จำเลยยอมจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด ต่อมาจำเลยผิดนัด โจทก์ขอออกหมายบังคับคดียึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามรายการที่จำเลยจำนองประกันหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 5 รายการจากจำนวนที่ประกาศขาย 6 รายการอย่างติดจำนองเป็นเงิน 400,000 บาท โดยบริษัทใบคำ จำกัด เป็นผู้ประมูลซื้อได้
จำเลยยื่นคำร้องขอรับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดจำนวน 400,000 บาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามจำนวนที่ระบุไว้ในคำพิพากษาด้วย โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิได้รับชำระหนี้จากจำเลยโดยสิ้นเชิง โจทก์บังคับคดียึดที่ดินของจำเลยขายทอดตลาดได้เงินบางส่วน เงินจำนวนนี้เป็นทรัพย์ของจำเลยที่โจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้ ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีมีปัญหาชั้นนี้ว่าจำเลยมีสิทธิขอรับเงินจำนวน 400,000 บาท ที่ได้จากการขายทอดตลาดหรือไม่ เห็นว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นทรัพย์สินของจำเลย เมื่อหักค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีแล้วจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 318 เงินจำนวนดังกล่าวจะต้องนำมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาส่วนหนึ่ง หาใช่เป็นเงินที่เกินจากจำนวนหนี้ตามคำพิพากษาและหาใช่เป็นเงินที่ไม่ต้องใช้ในการบังคับคดีดังที่จำเลยฎีกาไม่ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน