คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 มาตรา 246 ประกอบมาตรา 242 และพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 มาตรา 165, 203, 204 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และริบรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งคืนรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ ของกลาง แก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้ฎีกาโต้แย้งรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ ของกลาง จำเลยที่ 1 เป็นอดีตภริยาผู้ร้อง ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตรเขยและบุตรสาวผู้ร้อง วันที่ 30 ตุลาคม 2560 เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยทั้งสามในข้อหาร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าที่ไม่ได้เสียภาษีและร่วมกันมีไว้เพื่อขายสินค้าที่ไม่ได้เสียภาษี พร้อมยึดรถยนต์กระบะดังกล่าวที่ใช้กระทำความผิดเป็นของกลาง เหตุเกิดที่ตำบลอรัญประเทศ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามตามฟ้อง แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ กับให้ริบบุหรี่และรถยนต์ของกลาง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดหรือไม่ ผู้ร้องอ้างตนเองเป็นพยานกับมีจำเลยทั้งสามเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า วันเกิดเหตุ ผู้ร้องไม่อยู่บ้านเพราะไปว่าความที่จังหวัดชลบุรี และเนื่องจากรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไม่สามารถติดเครื่องได้เพราะแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงนำรถยนต์กระบะของกลางไปรับจำเลยที่ 1 ที่บ้านและเดินทางไปซื้อของที่ตลาดโรงเกลือโดยพลการ และรถยนต์กระบะของผู้ร้องไม่ได้ดัดแปลงสภาพให้มีช่องลับแต่อย่างใด ผู้ร้องไม่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด และจำเลยทั้งสามเบิกความสนับสนุนเพิ่มเติมว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะไปซื้อสินค้าที่ตลาดโรงเกลือมาขาย ส่วนจำเลยที่ 1 นอกจากจะไปซื้อสินค้าแล้ว ยังตั้งใจจะไปทวงหนี้จากนางเหมยซึ่งเป็นลูกหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่ฝั่งราชอาณาจักรกัมพูชา แต่นางเหมยไม่มีเงินชำระหนี้ จึงนำบุหรี่ยี่ห้อต่างประเทศ ประมาณ 290 ซอง มาชำระหนี้แทน จำเลยที่ 1 นำบุหรี่เก็บในรถโดยที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีส่วนรู้เห็น เห็นว่า แม้ผู้ร้องมีจำเลยทั้งสามเป็นพยานเบิกความสนับสนุน แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตรเขยและบุตรของผู้ร้อง ส่วนจำเลยที่ 1 แม้เป็นอดีตภริยา แต่ก็ได้ความว่ายังคงติดต่อและไปมาหาสู่กัน จำเลยทั้งสามจึงล้วนแต่มีความเกี่ยวพันกับผู้ร้อง ย่อมอยู่ในวิสัยจะเบิกความเข้าข้างผู้ร้อง จึงมีน้ำหนักให้รับฟังน้อย ที่ผู้ร้องอ้างว่าวันเกิดเหตุไม่อยู่บ้านต้องไปทำคดีให้ลูกความที่จังหวัดชลบุรี โดยออกเดินทางไปตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2560 และเดินทางกลับในวันที่ 30 ตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุในช่วงบ่ายนั้น แต่ตามสำเนาใบแต่งทนายความและสำเนารายงานกระบวนพิจารณาที่ผู้ร้องอ้างประกอบคำเบิกความนั้น กลับระบุวันเวลาไม่ตรงกับวันเกิดเหตุ ข้อนำสืบของผู้ร้องในส่วนนี้จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง นอกจากนี้ที่ผู้ร้องเบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า จำเลยที่ 3 ประกอบอาชีพค้าขายเสื้อผ้าตามตลาดนัดและศูนย์การค้าทั่วไป โดยจะไปซื้อสินค้ามาจากตลาดโรงเกลือ และก่อนเกิดเหตุผู้ร้องเคยนำรถยนต์กระบะของกลางไปซื้อของที่ตลาดโรงเกลือกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เดือนละ 1 ถึง 2 ครั้ง ส่วนจำเลยที่ 1 เคยไปรถคันเดียวกันบางครั้งนั้น แสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยทั้งสามเคยเดินทางไปซื้อสินค้าที่ตลาดโรงเกลือด้วยรถยนต์กระบะของกลางมาก่อนหลายครั้ง ดังนั้น หากรถยนต์ของจำเลยที่ 2 เกิดขัดข้องอันเป็นเหตุสุดวิสัยตามที่อ้างแล้ว การที่จำเลยทั้งสามจะนำรถยนต์กระบะของกลางไปซื้อสินค้าที่ตลาดโรงเกลือตามที่เคยปฏิบัติ ก็น่าจะขออนุญาตหรือแจ้งให้ผู้ร้องทราบ และหากผู้ร้องไม่อยู่บ้านตามที่อ้าง จำเลยทั้งสามก็ยังสามารถติดต่อกับผู้ร้องทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ เช่นเดียวกับที่ได้ติดต่อกับผู้ร้องภายหลังถูกจับกุม ทั้งผู้ร้องก็เบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า เก็บกุญแจรถไว้ที่หน้าตู้เอกสารภายในบ้าน จึงไม่ใช่การเก็บไว้อย่างมิดชิด อันมีลักษณะหวงกันว่าหากจะใช้รถต้องขออนุญาตก่อน กรณีจึงยากแก่การรับฟังตามที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยทั้งสามนำรถไปใช้โดยพลการ ซึ่งจากลักษณะการซุกซ่อนบุหรี่ทั้งในช่องลับใต้เบาะนั่งหลังคนขับและในช่องด้านหลังรถลึกถึงกระจกด้านหลังคนขับโดยมีแผ่นไม้กระดานทับปิดอีกชั้นหนึ่ง นั้น แสดงว่ามีการเตรียมการมาก่อน สอดคล้องกับที่นายเกริกชัย เจ้าหน้าที่สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่จังหวัดสระแก้ว พยานโจทก์เบิกความว่า ในวันเกิดเหตุ พยานได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการลักลอบนำสิ่งของผิดกฎหมายประเภทยาสูบมากับรถยนต์กระบะของกลาง พยานกับพวกจึงเดินทางไปตรวจสอบ รถยนต์กระบะของกลางมีสภาพถูกดัดแปลงให้มีช่องลับ และการนำบุหรี่ซุกซ่อนในช่องลับนั้นไม่สามารถทำได้คนเดียว ดังนี้ เชื่อว่าจำเลยทั้งสามมีการวางแผนและร่วมกันกระทำความผิดจริงตามที่ได้ให้การรับสารภาพในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1422/2561 ของศาลชั้นต้น ที่จำเลยทั้งสามเบิกความทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดเพียงลำพัง โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีส่วนรู้เห็นนั้น จึงฟังไม่ขึ้น ตามพฤติการณ์ดังกล่าวส่อแสดงว่าผู้ร้องยินยอมอนุญาตให้จำเลยที่ 3 นำรถยนต์กระบะของกลางไปใช้ได้ตลอดเวลาตามที่จำเลยที่ 3 ต้องการ โดยไม่คำนึงว่าจำเลยที่ 3 จะนำไปใช้ในกิจการใด ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3 กับพวกนำรถยนต์กระบะของกลางไปใช้กระทำความผิด กรณีถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 3 กับพวกโดยปริยาย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกคำร้องของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน