โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงิน 149,362.90 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 149,362.90 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2546 โจทก์ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมและกล่าวหาว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีคำสั่งยึดรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน กข 2958 มหาสารคาม ไว้ชั่วคราว ต่อมาในคดีส่วนอาญาพนักงานอัยการจังหวัดมหาสารคามได้ยื่นฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3260/2546 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำคุกโจทก์ มีกำหนด 6 ปี ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3085/2547 ของศาลชั้นต้น ระหว่างโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินนำรถยนต์ของโจทก์ออกขายทอดตลาดได้เงิน 420,000 บาท โดยนำเงิน 270,637.10 บาท ไปชำระค่าเช่าซื้อแก่บริษัทโตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้เช่าซื้อ ส่วนเงินที่เหลือ 149,362.90 บาท มีคำสั่งให้ยึดไว้ชั่วคราว เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2548 คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีคำสั่งให้ยึดเงิน 149,362.90 บาท เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2548 คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีคำวินิจฉัยว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่โจทก์มีอยู่หรือได้มาเกินกว่าฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพหรือกิจกรรมอย่างอื่นโดยสุจริต เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ขอให้พนักงานอัยการพิจารณายื่นคำร้องต่อศาลให้ริบเงินของโจทก์จำนวนดังกล่าว เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2548 พนักงานอัยการจังหวัดมหาสารคามยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ริบเงินจำนวนดังกล่าว โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า เงิน 149,362.90 บาท เป็นของโจทก์ มิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ริบเงิน 149,362.90 บาท ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โจทก์ซึ่งเป็นผู้คัดค้านไม่ได้อุทธรณ์คำสั่งริบเงินจำนวนดังกล่าว คดีถึงที่สุด ต่อมาเมื่อวันที่ 24 กรกฏาคม 2550 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง พนักงานอัยการจังหวัดมหาสารคามยื่นฎีกา และเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2555 ศาลฎีกาพิพากษายืน
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า อุทธรณ์ของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และตามข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติดังกล่าวข้างต้น กรณียังไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 หรือไม่ แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า เมื่อศาลฎีกาในส่วนคดีอาญาพิพากษาให้ยกฟ้อง เป็นผลให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของโจทก์เป็นอันสิ้นสุดลง จำเลยย่อมไม่มีอำนาจยึดหรืออายัดทรัพย์สินของโจทก์อีกต่อไป จึงต้องคืนเงิน 149,362.90 บาท แก่โจทก์ เห็นว่า มาตรา 32 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใด ให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น รวมทั้งทรัพย์สินของผู้อื่นที่ได้ยึดหรืออายัดไว้เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสิ้นสุดลง..." ดังนี้ เมื่อตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่าศาลฎีกาในคดีส่วนอาญาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่ให้ยกฟ้อง จึงเป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นในคดีริบทรัพย์สินตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ร.2/2549 ดำเนินกระบวนพิจารณามีคำสั่งริบทรัพย์สินโดยมิชอบ มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของมาตรา 32 วรรคหนึ่ง ที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมและเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ซึ่งศาลชั้นต้นตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ร.2/2549 ที่มีการพิจารณาที่ผิดระเบียบมีอำนาจที่จะสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบ โจทก์ชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ร.2/2549 เพื่อให้เพิกถอนคำสั่งริบทรัพย์สินและคืนเงินที่ริบแก่โจทก์ต่อไป โจทก์จะมายื่นฟ้องเป็นคดีใหม่หาได้ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ซึ่งเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 (เดิม) ที่ใช้บังคับในขณะที่ฟ้อง คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยอีกต่อไป
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ