คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ทำการแบ่งแยกที่ดินมีโฉนด ซึ่งโจทก์กับจำเลยมีกรรมสิทธิร่วมกันให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทนี้ จำเลยเติมชื่อโจทก์ลงในโฉนดเป็นการยกให้โดยเสน่หาทั้งโจทก์สัญญาจะอุปการะเลี้ยดูจำเลยตลอดจนจะช่วยจัดการในทางก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ที่นายรายนี้ แต่โจทก์ประพฤติเนรคุณต่อจำเลยอย่างร้ายแรงมิได้ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้ ทั้งยังด่าว่าและขู่เข็ญว่าจะทำร้ายจำเลย จำเลยจึงฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนการให้และให้โจทก์คืนนานายนี้ครึ่งหนึ่งให้จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าที่นารายนี้เดิมเป็นของนางทรวงภรรยาจำเลย จำเลยไปคัดค้าน ที่สุดจำเลยตกลงให้เงินนายผ่อน ๒๓๐ บาท และนายผ่อนยอมสลสะสิทธิรับมรดก แต่จำเลยไม่มีเงินได้ไปกู้เงินโจทก์ ๒๓๐ บาท รวมทั้งที่จำเลยและนางทรวงได้กู้โจทก์ไปก่อนแล้ว ๖๕๐ บาท เป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท จำเลยได้ตกลงใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิร่วมกับจำเลยเป็นการตีใช้หนี้ ทั้งที่พิพาทหนี้โจทก์จำเลยได้ครอบครองร่วมกันตลอดมา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินพิพาทในโฉนดที่ ๑๘๔๖ ให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ถ้าไม่สามารถแบ่งได้ก็ให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกัน
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาเบื้องต้นวามข้ออุทธรณ์ของจำเลยแม้การที่จำเลยใส่ชื่อโจทก์ในที่ดินโฉนดที่ ๑๘๔๖ จะทำเป็นนิติกรรม "ให้" ก็ดี แต่โจทก์นำสืบว่าได้เป็นการโอนให้เพื่อตีใช้หนี้ไม่เป็นการต้องห้ามอ้างแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ ๙๓/๒๔๘๘ ระหว่างนางเตียง แซ่เต็ง โจทก์ นางทับทิม แซ่เต็ง จำเลย ส่วนปัญหาข้อเท็จจริงวินิจฉัยว่าจำเลยโอนที่ตีใช้หนี้โจทก์ไปแล้วจึงเพิกถอนและเอาคืนไม่ได้จึงพิพากษายืน
จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาฟังคำแถลงตรวจปรีกษาแล้ว ปัญหาข้อแรกที่ว่าการที่จำเลยใส่ชื่อโจทก์ในโฉนดร่วมกับจำเลยทำเป็นนิติกรรม "ให้" โจทก์จะสืบได้หรือไม่ว่าความจริงเป็นโอนเพื่อให้หนี้ ข้อนี้เห็นว่าโจทก์สืบได้เพราะเป็นการสืบว่าสัญญาให้นั้นไม่สมบูรณ์ เป็นสัญญาให้ที่ต้องบังคับตามสัญญาที่แท้จริงคือสัญญาโอนเพื่อตีให้หนี้ตาม ป.พ.พ. ม.๑๑๘ วรรค ๒ ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง ม.๙๔ ดังแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ศาลทั้งสองอ้างอิงมา ส่วนปัญหาข้อเท็จจริงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์.