โจทก์ฟ้องหาว่า นางแปลกจำเลยที่ ๑ ได้บังอาจลักสร้อยทองคำพร้อมด้วยจีฟังเพ็ชร์ของนางสาว ป.ไป และในวันเดียวกัน นางจวน จำเลยที่ ๒ บังอาจรับสร้อยคอนั้นไว้จากนางแปลก โดยรู้ว่าเป็นของร้าย ได้ความว่าวันเกิดเหตุเจ้าทรัพย์ไปตลาดนัดซื้อของขณะก้มลงเลือกซื้อมะปรางของนางแปลกจำเลย สร้อยคอทองคำของเจ้าทรัพย์ได้ขาดหรือหลุดลงไปในกะเฌอมะปรางของนางแปลก ๆ เก็บเอาไว้ เจ้าทรัพย์ขอคืนก็ไม่ยอมคืนให้ กลับเดินเอาไปส่งให้นางจวนจำเลยซึ่งอยู่ห่างราว ๔ วา แล้วนางจวนพาหนีไปทางเหนือ เจ้าทพรัพย์ไปแจ้งความ รุ่งขึ้นนางแปลกจำเลยเอาจี้มาคืนให้เจ้าทรัพย์อ่างเดียว แต่เพ็ชร์ที่ฝังหาย สร้อยคอไม่ได้คืน
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยทั้ง ๒ เป็นตัวการฐานลักทรัพย์ แต่โจทก์ขอให้ลงโทษนางจวนจำเลยฐานรับของโจร ทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้องตาม วิ.อาญา ม. ๑๙๒ วรรค ๒ พิพากษาให้จำเลยจำคุก นางแปลกจำเลย ๖เดือนตาม ก.ม.อาญามาตรา ๒๘๘ โดยลด ๑ ใน ๓ แล้วกับให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ส่วนนางจวนจำเลยให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นางจวนจำเลยผิดฐานรับของโจร พิพากษาแก้ให้จำคุกนางจวนจำเลย ๓ เดือน ตาม ม. ๓๒๑ ให้ร่วมกับนางแปลกคืนหรือใช้ราคาทรัพย์
นางจวนจำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่นางแปลกเก็บเอาจี้ของเจ้าทรัพย์ที่ตกลงในกะเฌอของนางแปลกไว้ต่อหน้าต่อตา และได้มีการพูดขอคืนกับนางแปลกก็ไม่ยอมคืนให้ เป็นความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้ว ต่อจากนั้นไปนางจวนรับเอาทรัพย์นั้นไว้จากนางแปลก หาใช่เป็นผู้ลักทรัพย์ด้วยไม่ เพราะการลักทรัพย์เกิดขึ้นสำเร็จขาดตอนไปแล้ว นางจวนผิดฐานรับของโจร เห็นพ้องตามศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน