โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 334, 335, 336 ทวิ ริบรถยนต์เก๋ง โทรศัพท์เคลื่อนที่ และเงิน 10,000 บาท ของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 3 ปี จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 2 ปี ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่และเงิน 10,000 บาท ของกลาง คืนรถยนต์ยี่ห้อเชฟโรเลต หมายเลขทะเบียน ฎข 8793 (ที่ถูก 8792) กรุงเทพมหานคร ให้แก่เจ้าของ คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 86 จำคุกคนละ 2 ปี คำรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้โดยไม่ได้โต้แย้งกันว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2555 เวลาประมาณ 10.30 นาฬิกา นางสาวระพี ไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรพานทอง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ว่าตนได้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์แล้วนำมาใช้ในท้องที่ของสถานีตำรวจภูธรพานทองเกิดหายไป แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจซักถามจนนางสาวระพียอมรับว่ามีความเดือดร้อนทางการเงิน พบใบปลิวติดตามศาลารอรถโดยสารมีข้อความทำนองว่า บริการเงินด่วนทันใจอนุมัติไว ไม่ต้องใช้หลักฐานหรือผู้ค้ำประกัน จึงโทรศัพท์ติดต่อไปยังหมายเลขที่ให้ไว้ ก็ได้รับแจ้งว่าให้ไปทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์แล้วนำรถจักรยานยนต์มาแลกกับเงิน เมื่อชำระค่าเช่าซื้อ 2 ถึง 3 งวด ก็ให้ไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ารถจักรยานยนต์หาย เพื่อให้บริษัทประกันภัยจ่ายเงินชดใช้แก่บริษัทผู้ให้เช่าซื้อ ซึ่งนางสาวระพีเคยทำเช่นนี้มาแล้วสองครั้งครั้งแรก ติดต่อกับจำเลยที่ 3 โดยได้รับค่าตอบแทนแลกกับการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์มาให้เป็นเงิน 14,000 บาท ครั้งที่สอง ติดต่อกับชายคนหนึ่งจำชื่อไม่ได้ หมายเลขโทรศัพท์คนละหมายเลขกับหมายเลขครั้งแรก ได้รับค่าตอบแทนแลกกับการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์มาให้เป็นเงิน 12,000 บาท เป็นที่มาของการมาแจ้งความดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ นางสาวระพีจึงไม่ประสงค์แจ้งความต่อไปและยินยอมเป็นสายลับเพื่อจับกุมผู้กระทำการดังกล่าว โดยโทรศัพท์ไปที่หมายเลข 08 1155 xxxx ซึ่งเป็นหมายเลขโทรศัพท์หนึ่งในหลายหมายเลขจากใบปลิวที่ติดประกาศไว้ตามศาลา รอรถโดยสารและค้นได้จากที่บ้านของนางสาวระพี นางสาวระพีได้พูดคุยกับชายคนหนึ่งบอกว่าให้นางสาวระพีไปเช่าซื้อรถจักรยานยนต์มาแลกกับเงินจำนวน 10,000 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงติดต่อขอยืมรถจักรยานยนต์ของบริษัทกรุ๊ปลิส จำกัด (มหาชน) จากร้านอาคมเจริญยนต์ซึ่งมีนางสาวอริศรา เป็นผู้จัดการร้าน เป็นรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นสกู๊ปปี้ไอ ป้ายแดง วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 16 ตุลาคม 2555 เจ้าหน้าที่ตำรวจให้นางสาวระพีขับไปยังจุดนัดพบที่หน้าพานทองคอนโดมิเนียมเวลาประมาณ 17.15 นาฬิกา โดยวันนั้นจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อเชฟโรเลต หมายเลขทะเบียน ฎข 8792 กรุงเทพมหานคร พร้อมจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นภริยาของจำเลยที่ 2 ไปส่งจำเลยที่ 1 ที่บริเวณจุดนัดพบ เมื่อนางสาวระพีพบจำเลยที่ 1ซึ่งมารับรถจักรยานยนต์ตามที่ตกลงกันแทนชายคนที่นางสาวระพีติดต่อด้วย ขณะจำเลยที่ 1จะหยิบเงินออกจากกระเป๋าเสื้อเพื่อให้นางสาวระพีก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ถูกจับกุมในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 17 ตุลาคม 2555 ขณะไปเยี่ยมจำเลยที่ 1 ที่สถานีตำรวจภูธรพานทอง
คดีคงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เพียงว่า นางสาวอริศรา มอบรถจักรยานยนต์ของกลางให้เจ้าหน้าที่ตำรวจยืมไป ไม่ใช่เกิดจากถูกนางสาวระพีหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งรถจักรยานยนต์จากผู้ถูกหลอกลวง เมื่อการกระทำของนางสาวระพีไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของนางสาวระพีหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด" สำหรับการก่อให้ผู้อื่นไปกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 และความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดตามมาตรา 84 วรรคหนึ่ง สำเร็จได้โดยมิพักต้องคำนึงถึงผลของการกระทำนั้นว่าผู้นั้นไปดำเนินการตามนั้นอย่างไรหรือไม่ เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 84 วรรคสอง ที่ว่า "ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น" ดังนั้น การยืมรถจักรยานยนต์จากผู้อื่นให้ขับไปทำทีไปส่งมอบให้เพื่อนำมาใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์การกระทำความผิด มีผลให้ความผิดฐานฉ้อโกงมิได้กระทำลง ก็มีผลเพียงผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น หามีผลให้ผู้ใช้พ้นความผิดไปด้วยไม่ คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า "เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2555 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันลักทรัพย์เอารถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้ารุ่นสกู๊ปปี้ไอ สีขาว-เทา คันหมายเลขทะเบียน ป้ายแดง 40-4543 สภ.เมืองชลบุรีราคา 45,000 บาท ของบริษัทกรุ๊ปลิส จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหายขณะอยู่ในความครอบครองของนางสาวระพี ไปโดยทุจริต..." แต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณากลายเป็นการให้นางสาวระพีไปเช่าซื้อรถจักรยานยนต์นำมาแลกกับค่าตอบแทนเป็นเงิน 10,000 บาท หาใช่เป็นการลักรถจักรยานยนต์ตามฟ้องไปจากนางสาวระพีไม่ จึงเป็นกรณีข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลยกฟ้อง จึงไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ดังที่กล่าวในฟ้อง และลงโทษฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามที่ปรากฏในการพิจารณาไม่ได้เช่นกัน ถือว่าเกินคำขอหรือมิได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ส่วนที่ว่าลงโทษจำเลยทั้งสามฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้หรือไม่ เห็นว่า การชี้ช่องแนะนำให้นางสาวระพีไปทำสัญญาเช่าซื้อและเสนอเงินค่าตอบแทนในการนำรถจักรยานยนต์มาส่งมอบจำนวน 10,000 บาท ดังกล่าว อาจถือว่าเป็นการกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นางสาวระพีก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวจะเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนหรือไม่ ต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ที่บัญญัติว่าเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด หมายถึงต้องมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นด้วย จึงจะพิจารณาได้ว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำก่อนหรือขณะกระทำความผิดได้ แตกต่างกับบทบัญญัติแห่งมาตรา 84 วรรคสองตอนท้าย ที่อาจมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ได้แม้ว่าความผิดมิได้กระทำลงก็ตาม เมื่อคดีนี้เกิดจากการวางแผนของเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ก่อน และเป็นการขอยืมรถจักรยานยนต์จากผู้อื่นเพื่อให้นางสาวระพีขับไปทำทีส่งมอบแก่พวกจำเลย หาได้เกิดจากนางสาวระพีโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง อันจะถือเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ไม่ บริษัทกรุ๊ปลิส จำกัด (มหาชน) ตามที่โจทก์บรรยายไว้ในฟ้องว่าเป็นผู้เสียหายก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย และไม่มีผู้ใดเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ เท่ากับไม่มีการกระทำอันถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ดังที่กล่าวในฟ้องและการกระทำอันถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแต่อย่างใด จึงไม่มีฐานความผิดที่จะนำมาใช้ลงโทษตามที่โจทก์ฟ้องได้เลย ทั้งความผิดตามมาตรา 341 อันเป็นมูลฐานแห่งความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดไม่มีเสียแล้ว ความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดที่ต้องนำความผิดตามมาตรา 341 มาประกอบกับมาตรา 86 ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เช่นกัน จึงไม่อาจพิพากษาลงโทษตามมาตรา 341 ประกอบมาตรา 86 ได้อีกด้วย ดังนั้น จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟังขึ้น และกรณีดังกล่าวเป็นเหตุในลักษณะคดีที่ให้ใช้แก่ผู้กระทำความผิดในการกระทำความผิดนั้นด้วยกันทุกคนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 89 และเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีที่ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาให้มิต้องถูกรับโทษดุจจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
พิพากษากลับเป็น ยกฟ้องโจทก์ ของกลางทั้งหมดไม่ริบและให้คืนแก่เจ้าของ