ได้ความว่า โจทก์และนางทองหล่อจำเลยเป็นสามีภรรยากันมาประมาณ ๑๖ ปี ต่อมาได้เกิดทะเลาะวิวาทกันเพราะโจทก์เมาสุราทุบตีขับไล่ นางทองหล่อจึงพาบุตร์หนีไปอยู่กับพี่สาว และได้เอาเรือพิพาทนี้ไปด้วย แล้วขายเรือลำนี้ให้แก่นายทงจำเลย โจทก์ฟ้องอ้างว่า เรือลำนี้เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนางทองหล่อ ขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาเรือนายทงจำเลยต่อสู้ว่า ได้รับซื้อไว้โดยสุจริตไม่ทราบว่าเป็นสินสมรส ส่วนนางทองหล่อได้ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมและให้การต่อสู้ว่า เรือลำนี้เป็นสินเดิมของนางทองหล่อได้ขายไปด้วยความจำเป็น เมื่อโจทก์ไม่ทักท้วง ก็ต้องถือว่าได้ยินยอมโดยปริยายแล้ว
ได้ความดังนี้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นางทองหล่อขายเรือด้วยความจำเป็น จึงผูกพันธ์สินบริคณห์ตาม ป.ม. แพ่ง ฯ ม.๑๔๗๐.๑๔๘๒ โจทก์ไม่มีสิทธิ์บอกล้างนิติกรรมการซื้อขายเรือหรือเรียกเรือคืน พิพากษากลับศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง.
โจทก์ฎีกา, ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามศาลอุทธรณ์ว่าเรือพิพาทลำนี้เป็นสินสมรส เพราะได้ความว่าได้มาเมื่อโจทก์และนางทองหล่อเป้นสามีภริยากันแล้ว และการที่นางทองหล่อมาเสียจากโจทก์นั้น ก็ฟังได้ตามข้อต่อสู้ว่า เพราะโจทก์ทุบตีขับไล่ซึ่งเป็นการเพียงพอจะถือว่าโจทก์ได้ละทิ้งตาม ป.ม.แพ่ง ม. ๓๙(๒) การที่นางทองหล่อขายเรือนั้นไป ก็มีข้ออ้างว่าเอาเงินไปเลี้ยงดูบุตร์และตนเองซึ่งมีถึง ๖ คน จึงปรับเข้า ป.ม. แพ่งฯ ม. ๑๔๘๐, ๑๔๘๒ ซึ่งบัญญัติว่า หนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูรักษาพยาบาลครอบครัวและการศึกษาบุตร์ตามสมควรเป็นหนี้รวม ซึ่งภรรยาและสามีต้องรับใช้ ฉะนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ฟ้องเรียกเรือคืนได้ จึงพิพากษายืนตาม.