โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าตึกแถวของโจทก์ทำการค้าครบกำหนดแล้วก็ไม่ออกไป ขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า เช่าตึกแถวพิพาทเพื่ออยู่อาศัย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทำการค้าโดยขายก๋วยเตี๋ยวกาแฟ และน้ำแข็งในตึกพิพาท จดทะเบียนการค้าและค้าติดต่อกันมาจำเลยมีลูกจ้าง 5-6 คน มีตู้อาหาร โต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งกินอยู่หลายตัว ฟังได้ว่ากิจการค้าของจำเลยหาใช่การค้าเล็กน้อยไม่
การที่จำเลยไปค้าขายต่างจังหวัดเป็นเวลานานจึงจะกลับมาครั้งหนึ่ง แม้จำเลยจะไม่ทำการค้าในตึกพิพาทเอง โดยให้ภริยาทำก็ถือว่าเป็นการค้าของจำเลยเอง การที่จำเลยและครอบครัวใช้ตึกพิพาทชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย ก็เพื่อความสะดวกในการควบคุมและดำเนินการค้าจึงฟังไม่ได้ว่าตึกพิพาทเป็นเคหะ
การที่ศาลชั้นต้นไม่ยอมให้จำเลยสืบพยานตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลย ก็โดยปรากฏว่าจำเลยยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ระบุพยานเพิ่มเติม 3 คน โดยคนหนึ่งเป็นพยานที่จะต้องส่งประเด็นไปสืบ ศาลชั้นต้นจดรายงานว่าสอบจำเลยเรื่องพยานที่อ้างใหม่และพยานที่จะส่งประเด็นไปสืบ จำเลยแถลงว่า จะขอสืบในข้อที่จำเลยเช่าอยู่อาศัยสืบข้อนี้ข้อเดียวหมดทุกปาก ข้ออยู่อาศัยจำเลยสืบมาแล้ว 6 ปาก ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นการฟุ่มเฟือยและประวิงคดีมากกว่า จึงไม่อนุญาตให้จำเลยอ้างพยานเพิ่มเติม ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยได้สืบพยานไปแล้วถึง6 ปาก เป็นทำนองเดียวกัน ในเรื่องภริยาของจำเลยทำการค้าขายก๋วยเตี๋ยวและเครื่องดื่ม ที่จำเลยจะขอสืบเพิ่มเติมนั้นจำเลยว่าจะสืบในข้อที่จำเลยเช่าอาศัย มิได้ค้า จึงไม่มีอะไรจะสืบนอกเหนือไปจากที่สืบไว้แล้ว จะเป็นการนำสืบซ้ำซากไป แม้จะปล่อยให้สืบก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป เป็นการประวิงคดีให้ชักช้า ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นไม่ยอมให้จำเลยสืบต่อไปจึงเป็นการชอบแล้ว
พิพากษายืน