โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันออกเช็คธนาคารกรุงเทพจำกัด จำนวน 2 ฉบับ โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย และประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 มอบแก่นายประกอบ เจริญพจน์มณี เพื่อชำระหนี้ค่าสินค้า แล้วนายประกอบได้สลักหลังเช็คทั้ง 2 ฉบับ มอบแก่โจทก์เพื่อชำระค่าสินค้า เมื่อเช็คทั้ง 2 ฉบับถึงกำหนดใช้เงิน โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้ง 2 ฉบับขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน430,065 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าให้แก่นายประกอบ เจริญพจน์มณีแต่นายประกอบได้ขอร้องให้ออกเช็คพิพาทเพื่อจะไปให้เจ้าหนี้การค้าดูเพื่อแสดงว่านายประกอบจะได้รับเงินจากการสั่งซื้อสินค้าแต่นายประกอบมิได้นำเช็คพิพาทมาคืน กลับถือเอาไว้เพื่อเป็นค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ 1 ปฏิเสธไม่ยอมรับสินค้าเนื่องจากคุณภาพต่ำ เช็คพิพาทจึงไม่มีลูกหนี้ การที่นายประกอบสลักหลังโอนเช็คพิพาทให้โจทก์เป็นการคบคิดกันฉ้อฉล ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน430,065 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 164,465 บาท นับแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2536และในต้นเงิน 265,600 บาท นับแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2536จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องให้ไม่เกิน25,708 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เห็นว่า แม้ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ถึงจะมิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์จำเลยก็ชอบที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ก็ตามแต่ข้อกฎหมายนั้นจะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ในฐานะผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบเรียกให้จำเลยทั้งสามผู้ร่วมกันออกเช็คพิพาทชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่า เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้และมีการโอนเช็คพิพาทโดยคบคิดกันฉ้อฉล ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะว่าโจทก์ได้รับเงินตามเช็คพิพาทจากนายประกอบแล้วก็ดีหรือเช็คพิพาทได้ออกชำระหนี้ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดหงี่ฮะกี่ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบก็ดี ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นจากพยานนอกคำให้การจำเลยทั้งสิ้น จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าเช็คพิพาทมีมูลหนี้หรือไม่ เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่มีมูลหนี้ต่อกัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน