คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้แบ่งมรดกของนางซิวง้อ สอนอนุกูล ตามพินัยกรรม โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้โจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 70180 และโฉนดเลขที่ 70181 ตำบลคลองเตยอำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมตึกแถวเลขที่ 2743 และ 2743/1ให้จำเลยทั้งสองโดยจำเลยทั้งสองตกลงชำระเงินจำนวน 5,560,000 บาทให้แก่ทายาท และทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 11 กรกฎาคม 2533
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า โจทก์ที่ 1 โอนที่ดินและตึกแถวตามสัญญาประนีประนอมยอมความใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ในโฉนดแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่ใส่ชื่อจำเลยที่ 2 ไว้ในโฉนด ขอให้เรียกโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 มาสอบถามขอให้เพิกถอนการโอน และขอให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลชั้นต้นนัดพร้อมและสอบถามแล้วมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1รับเงินจำนวน 2,800,000 บาท ที่จำเลยที่ 2 นำมาวางศาลเพื่อปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และให้จำเลยที่ 1 ใส่ชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวดังกล่าวร่วมกับจำเลยที่ 1
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามที่คู่ความแถลงรับกันฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1 ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวที่ระบุไว้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ในคดีนี้จำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 1 ไปโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวให้จำเลยที่ 2ด้วย ต่อมาจำเลยที่ 2 ประสงค์จะให้จำเลยที่ 1 ใส่ชื่อจำเลยที่ 2เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวดังกล่าวร่วมกับจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 ได้วางเงินในส่วนที่จำเลยที่ 2 จะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ที่ 1 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งจำเลยที่ 1ได้จ่ายแทนไปก่อนไว้ที่ศาลชั้นต้นเพื่อให้จำเลยที่ 1 รับไปแล้วแต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมปฏิบัติตามความประสงค์ของจำเลยที่ 2ดังกล่าว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 2 มีอำนาจร้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 ใส่ชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวดังกล่าวร่วมกับจำเลยที่ 1 ได้หรือไม่ เห็นว่า ที่จำเลยที่ 1 รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวไว้จากโจทก์ที่ 1 นั้น เป็นการรับโอนกรรมสิทธิ์ในส่วนของทรัพย์สินดังกล่าวที่โจทก์ที่ 1 จะต้องโอนให้แก่จำเลยที่ 2 ไว้แทนจำเลยที่ 2 ด้วยจำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในส่วนของทรัพย์สินที่โจทก์ที่ 1 จะต้องโอนให้แก่จำเลยที่ 2 ไว้แทนจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 ประสงค์จะให้จำเลยที่ 1 ใส่ชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวร่วมกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้วางเงินในส่วนที่จำเลยที่ 2 จะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ที่ 1 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้จ่ายแทนไปก่อนไว้ที่ศาลชั้นต้นเพื่อให้จำเลยที่ 1 รับไปแล้ว จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการตามที่จำเลยที่ 2 มีความประสงค์ดังกล่าวที่ศาลล่างทั้งสองบังคับให้จำเลยที่ 1 ใส่ชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวดังกล่าวร่วมกับจำเลยที่ 1 จึงชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ 2 ได้ตกลงกับจำเลยที่ 1 ว่าไม่ประสงค์จะรับที่ดินและตึกแถวที่จำเลยที่ 1ถือกรรมสิทธิ์แทนและขอโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้แก่จำเลยที่ 2ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ดำเนินการตามข้อตกลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2แล้วนั้น เห็นว่า ข้อตกลงกันดังกล่าวมิได้กระทำต่อหน้าศาล ศาลจึงไม่อาจรับรู้ข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ดังกล่าวและรับบังคับให้ได้ เมื่อจำเลยที่ 2 มีความประสงค์ให้บังคับคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้ ศาลย่อมบังคับให้จำเลยที่ 1 ใส่ชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวร่วมกับจำเลยที่ 1 เพื่อบังคับคดีให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้ได้
พิพากษายืน