คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากบ้านเลขที่ 144 หมู่ที่ 5 ตำบลหินมูล อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม พร้อมส่งมอบบ้านและที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์กับใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อัตราเดือนละ 8,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งว่า ถ้าจำเลยนำค่าเสียหายที่จะต้องชำระให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นถึงวันทราบคำสั่งนี้มาวางต่อศาลชั้นต้น ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ สำหรับค่าเสียหายเดือนต่อๆ ไป ให้จำเลยนำมาวางต่อศาลชั้นต้นภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน หากผิดนัดเดือนใดก็ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2546 นายสาย ผู้ค้ำประกันได้ทำสัญญาไว้ต่อศาลชั้นต้นยอมตนเข้าค้ำประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษา โดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 4693 ตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น มาเป็นหลักประกัน ส่วนจำเลยได้นำเงินค่าเสียหายที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์
ต่อมาวันที่ 27 พฤษภาคม 2547 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ เนื่องจากจำเลยทิ้งฟ้องอุทธรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
วันที่ 8 สิงหาคม 2549 ผู้ค้ำประกันและจำเลยยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นโดยผู้ค้ำประกันขอให้ศาลชั้นต้นคืนโฉนดที่ดินซึ่งเป็นหลักประกัน ส่วนจำเลยขอรับเงินค่าเสียหายที่นำมาวางต่อศาลชั้นต้นนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2546 ถึงเดือนเมษายน 2547 รวม 71,000 บาท คืน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ตรวจคืนหลักประกันแก่ผู้ค้ำประกัน และสั่งคำแถลงของจำเลยว่า โจทก์รับเงินค่าเสียหายอันเป็นการประกันชั้นอุทธรณ์ไปแล้ว จึงให้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบ เมื่อได้รับเงินคืนแล้ว ให้เบิกจ่ายเงินคืนจำเลย
วันที่ 8 กันยายน 2549 โจทก์ยื่นคำร้องโต้แย้งคัดค้านคำสั่งดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ค้ำประกันนำหลักประกัน คือโฉนดที่ดินเลขที่ 4693 ตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น มาคืนให้ศาลชั้นต้น กับให้โจทก์นำเงินจำนวน 71,000 บาท มาคืนให้ศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีนี้ หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ตรวจคืนหลักประกันแก่ผู้ค้ำประกัน และมีหนังสือแจ้งให้โจทก์นำเงินจำนวน 71,000 บาท มาคืนต่อศาลชั้นต้นแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องโต้แยงคัดค้านคำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้น โดยให้เรียกโฉนดที่ดินอันเป็นหลักประกันคืนจากผู้ค้ำประกัน เพื่อโจทก์จะได้ดำเนินการบังคับคดีต่อไปและให้นำเงินจำนวน 71,000 บาท ที่โจทก์รับไปแล้วมาหักทอนกับค่าเสียหายตามคำพิพากษา อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ค้ำประกันต้องถือว่าผู้ค้ำประกันเป็นจำเลยอุทธรณ์ด้วย การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์ โดยไม่สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์แก่ผู้ค้ำประกัน จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 235 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาคดีไปโดยไม่สั่งให้ศาลชั้นต้นแก้ไขให้ถูกต้อง ถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 7 มิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคามแพ่งว่าด้วยการพิจารณา ศาลฎีกาจึงต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 เสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ประกอบด้วยมาตรา 243 ประกอบด้วยมาตรา 243 (2) กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์และฎีกาของจำเลยต่อไป"
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ให้ผู้ค้ำประกัน แล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ให้ยกฎีกาของโจทก์และฎีกาของจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์และจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ