โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เข้าทำสัญญาเช่าโรงและเครื่องไฟฟ้ามีกำหนด ๕ ปี จากจำเลยต่อมาจำเลยเข้าทำการยึดแลครอบครองทรัพย์สินที่ให้เช่าไปจากโจทก์โดยพลการ โดยโจทก์มิได้ทำผิดสัญญาแต่อย่างใด จึงขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่าเพราะโจทก์ผิดสัญญาเช่าข้อ ๗ ซึ่งจำเลยมีสิทธิจะเข้าครอบครองได้ตามสัญญาข้อ ๑๑ จำเลยหาต้องรับผิดไม่
ศาลชั้นต้นเห็นว่า มูลกรณีนี้กล่าวหากันในฐานละเมิด จึงสั่งให้งดการนำสืบเกี่ยวกับข้อเถียงของจำเลยที่ว่าโจทก์ผิดสัญญาเสีย คงสืบแต่มูลกรณีละเมิด แล้วฟังว่าจำเลยเข้ายึดโรงไฟฟ้าเอาโดยพลการ แม้โจทก์จะผิดสัญญาจำเลยก็ไม่มีสิทธิเข้ายึดได้การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดสิทธิต่อโจทก์ จึงพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตาม
ศาลฎีกาเห็นว่าที่ว่าจำเลยได้กระทำการละเมิดต่อโจทก์โดยเข้าครอบครองโรงไฟฟ้าโดยโจทก์มิยินยอมนั้นหากว่าจำเลยมีสิทธิที่จะกระทำการนั้นได้โดยชอบด้วยกฏหมายก็ไม่ได้ชื่อว่าทำโดยผิดกฏหมายหาเป็นการละเมิดไม่ ตามสัญญาข้อ ๑๑ มีความว่า ถ้าผู้เช่าผิดสัญญา แม้แต่ข้อใดข้อหนึ่ง ผู้ให้เช่าทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะกลับเข้ายึดถือปกครองสถานที่เช่าได้โดยพลัน แลมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันที เห็นว่าสัญญาข้อนี้ไม่เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยของประขาชนแต่อย่างใด ถ้าหากโจทก์กระทำผิดสัญญาข้อ ๗ ดังจำเลยกล่าว จำเลยก็เข้ายึดถือปกครองสถานที่เช่าได้ เพราะอยู่ภายในกรอบแห่งสัญญาข้อ ๑๑ หาใช่เป็นการกระทำโดยผิดกฎหมายอันเป็นละเมิดไม่ แต่ศาลได้งดสืบพะยานในข้อนี้ เสีย จึงพิพากษากลับศาลล่างทั้ง ๒ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพะยานในข้อผิดสัญญาแล้วพิพากษาต่อไปตามกระบวนความ