โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 279 คืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหากระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี แต่ให้การปฏิเสธในข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง จำคุก 8 ปี คืนของกลางให้แก่เจ้าของ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเด็กหญิง พ. ผู้เสียหาย เกิดเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2542 ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุ 3 ปีเศษ ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ผู้เสียหายไปเล่นที่บ้านของจำเลย แล้วกลับมาบ้าน เสื้อของผู้เสียหายเลอะคราบน้ำกาม นางคำกอง ยายของผู้เสียหายพาผู้เสียหายไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลปทุมรัตต์ แพทย์ตรวจร่างกายผู้เสียหายแล้วพบรอยช้ำแดงที่แคมนอกด้านขวา ยาว 2 เซนติเมตร รอยฉีกขาดลึก 0.2 เซนติเมตร ยาว 1.5 เซนติเมตร ที่แคมในด้านขวามีเลือดออกเล็กน้อย จากการตรวจสารแอซิดฟอสฟาเตสในช่องคลอดของผู้เสียหายได้ผลบวกแสดงว่ามีน้ำกามในช่องคลอดของผู้เสียหาย ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์และรายงานผลการตรวจวัตถุพยานคดีความผิดทางเพศ ต่อมาในวันที่ 12 ตุลาคม 2545 นางจำปา มารดาของผู้เสียหาย เข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลย หลังเกิดเหตุจำเลยได้ไปขอขมาและชดใช้เงิน 10,000 บาท ให้แก่ฝ่ายผู้เสียหาย จนฝ่ายผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 หรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า จำเลยไม่เคยเอาอวัยวะเพศของจำเลยใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย และโจทก์ยังมีนายจันดากับนางคำกอง ตาและยายของผู้เสียหาย เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า ในวันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 12 นาฬิกา ขณะพยานทั้งสองอยู่ที่บ้าน ผู้เสียหายเดินกลับมา เสื้อผ้าของผู้เสียหายเลอะคราบเหนียวคล้ายแป้งบริเวณเอวทั้งสองข้าง นางคำกองถามผู้เสียหายว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้เสียหายบอกว่าลุงธรรมทำหนู นางคำกองถอดกางเกงของผู้เสียหายออกมาดูอวัยวะเพศ แต่ไม่มีรอยช้ำบวม เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามปากเบิกความแตกต่างจากที่เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน โดยในชั้นสอบสวนผู้เสียหายให้การว่า จำเลยเอาอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ผู้เสียหายรู้สึกเจ็บ และมีน้ำมาเปื้อนที่เสื้อของผู้เสียหาย ตามบันทึกคำให้การของผู้ร้องทุกข์และนายจันดากับนางคำกองให้การในชั้นสอบสวนทำนองเดียวกันว่า ในวันเกิดเหตุ เวลา 10.50 นาฬิกา นายจันดากับผู้เสียหายนั่งเล่นอยู่ที่เพิงพักชั่วคราว ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างบ้านพักของนายจันดากับบ้านพักของจำเลย ต่อมาเวลาประมาณ 11 นาฬิกา ผู้เสียหายบอกนายจันดาว่า จะไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลย หลังจากนั้นอีกประมาณ 20 นาที นางคำกองกลับมาที่บ้านและถามหาผู้เสียหาย ขณะนั้นผู้เสียหายเดินร้องไห้ลงมาจากบ้านของจำเลย นายจันดาและนางคำกองถามผู้เสียหายว่า ร้องไห้ทำไม ผู้เสียหายบอกว่าจำเลยเอาอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ผู้เสียหายเจ็บมาก นายจันดารู้สึกโกรธจึงเดินไปสงบสติอารมณ์ นางคำกองเปิดดูอวัยวะเพศของผู้เสียหายพบว่าบวมแดง และมีคราบเปื้อนเป็นจุดบนเสื้อผ้าของผู้เสียหาย จากนั้นนายจันดาและนางคำกองพาผู้เสียหายไปให้แพทย์ตรวจร่างกายและโทรศัพท์แจ้งให้นางจำปาทราบ ตามบันทึกคำให้การพยาน นายจันดา ผู้เสียหายและนางคำกองให้การต่อพนักงานสอบสวนหลังเกิดเหตุเพียง 3 วัน 8 วัน และ 19 วันตามลำดับ ซึ่งเป็นระยะเวลาหลังเกิดเหตุไม่นาน โดยผู้เสียหายให้การต่อหน้าพนักงานอัยการและนักสังคมสงเคราะห์ ทั้งเรื่องที่แจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยก็เป็นเรื่องน่าอับอาย เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงวงศ์ตระกูล และจำเลยยังมีความเกี่ยวพันเป็นลุงของผู้เสียหาย บ้านของผู้เสียหายและบ้านของจำเลยอยู่ติดกัน ผู้เสียหายไปเล่นกับบุตรสาวของจำเลยที่บ้านของจำเลยเป็นประจำ ฝ่ายผู้เสียหายและจำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน หากไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงผู้เสียหาย นายจันดาและนางคำกอง ก็ไม่น่าจะให้การต่อพนักงานสอบสวนเช่นนั้น และเมื่อพิเคราะห์คำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย นายจันดา และนางคำกอง แล้วจะเห็นได้ว่า คำให้การของบุคคลทั้งสามต่อเนื่องเชื่อมโยงเหตุการณ์เป็นลำดับขั้นตอนสมเหตุผล ตั้งแต่ผู้เสียหายร้องไห้กลับมาที่บ้านและบอกในทันทีว่าจำเลยเอาอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย จากการตรวจดูพบว่าอวัยวะเพศของผู้เสียหายบวมแดง จึงพาผู้เสียหายไปให้แพทย์ตรวจร่างกาย และแจ้งให้นางจำปาทราบ หากผู้เสียหายไม่ได้เล่าเหตุการณ์ดังกล่าวให้นางคำกองและนายจันดาทราบ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่นางคำกองจะต้องตรวจดูอวัยวะเพศของผู้เสียหาย และหากนางคำกองไม่พบร่องรอยช้ำบวมแดงที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายแล้วก็ไม่มีเหตุผลใดที่นางคำกองจะต้องพาผู้เสียหายไปให้แพทย์ตรวจร่างกายในวันเกิดเหตุ และโทรศัพท์ไปแจ้งให้นางจำปาที่ทำงานอยู่ที่กรุงเทพมหานครทราบในวันนั้นเอง นอกจากนี้นางคำกองยังเบิกความว่า ได้ให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การพยานจริง เหตุที่เบิกความแตกต่างจากที่ให้การไว้เนื่องจากไม่ประสงค์ให้จำเลยได้รับโทษจำคุก ทั้งหลังเกิดเหตุจำเลยยังได้มาขอขมาและชดใช้เงินให้แก่ฝ่ายผู้เสียหายเป็นเงิน 10,000 บาท จนฝ่ายผู้เสียหายพอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลย เชื่อว่าผู้เสียหาย นายจันดาและนางคำกองเบิกความในชั้นพิจารณาเพื่อช่วยเหลือจำเลย คำให้การชั้นสอบสวนของพยานโจทก์ดังกล่าวมีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณา แม้บันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าวจะเป็นพยานบอกเล่าแต่ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้นน่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (1) ประกอบกับโจทก์มีนายพงษ์เฉลย แพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้เสียหายเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุผู้เสียหายมาพบพยาน ผู้เสียหายมีอาการตื่นตกใจ พยานตรวจร่างกายผู้เสียหายพบรอยช้ำแดงที่แคมนอกด้านขวา ยาว 2 เซนติเมตร ที่แคมในด้านขวามีรอยฉีกขาดลึก 0.2 เซนติเมตร ยาว 1 เซนติเมตร และมีเลือดออกเล็กน้อยแต่ไม่พบอสุจิในช่องคลอด จากนั้นได้เก็บตัวอย่างน้ำในช่องคลอดของผู้เสียหายไปตรวจ พบสารแอซิดฟอสฟาเตส ซึ่งสารดังกล่าวจะพบในน้ำกาม แสดงว่าในช่องคลอดของผู้เสียหายมีน้ำกามอยู่ พยานโจทก์ปากนี้ไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ได้ตรวจร่างกายผู้เสียหายในวันเกิดเหตุ ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยโดยไม่มีมูลความจริง อันเป็นการสนับสนุนคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย นายจันดา และนางคำกองให้มีน้ำหนักให้รับฟังมากยิ่งขึ้น และโจทก์ยังมีพันตำรวจโทไพบูลย์ พนักงานสอบสวนมาเบิกความเป็นพยานว่า พยานได้แจ้งข้อหาแก่จำเลยว่า กระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี และกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี จำเลยให้การรับสารภาพ และนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา บันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ และภาพถ่ายแสดงสถานที่เกิดเหตุ โดยไม่ปรากฏว่ามีการจูงใจให้คำมั่นสัญญา ขู่เข็ญหรือหลอกลวงแต่อย่างใด พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักให้รับฟังได้ ที่จำเลยฎีกาว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาอนาจารเท่านั้น แต่เหตุที่ลงลายมือชื่อในบันทึกคำให้การว่ารับสารภาพ เนื่องจากจำเลยอ่านหนังสือไม่ออก และเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้อ่านข้อความให้จำเลยฟังนั้น เห็นว่าจำเลยให้การหลังเกิดเหตุเพียง 3 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาใกล้ชิดกับเหตุการณ์ โดยระบุรายละเอียดของเหตุการณ์ เกี่ยวกับวัน เวลา สถานที่ และบุคคลไว้โดยละเอียด และยังนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพด้วย ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าว หากจำเลยไม่ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวน ก็ยากที่พนักงานสอบสวนจะปั้นแต่งเรื่องราวขึ้นได้ เชื่อว่าจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนเช่นนี้จริงด้วยความสมัครใจ และที่จำเลยฎีกาทำนองว่า จำเลยไม่ได้สอดใส่อวัยวะเพศเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย โดยแพทย์ตรวจไม่พบตัวอสุจิในช่องคลอดของผู้เสียหาย แต่ตามรายงานผลการตรวจวัตถุพยานคดีความผิดทางเพศ และผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ ก็ปรากฏว่าตรวจพบน้ำกามในช่องคลอดและมีรอยฉีกขาดที่แคมในของผู้เสียหาย ซึ่งแสดงว่าจำเลยสอดใส่อวัยวะเพศเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายแล้ว และการที่แพทย์ไม่ได้ตรวจดีเอ็นเอของน้ำกามที่เลอะเปื้อนเสื้อของผู้เสียหายว่าเป็นของจำเลยหรือไม่ ก็ไม่ทำให้พยานโจทก์ดังกล่าวไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยกับบุตรสาวกำลังดูโทรทัศน์ ผู้เสียหายเข้ามาเล่นกับบุตรสาวของจำเลย จำเลยเกิดอารมณ์ทางเพศจึงสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ผู้เสียหายเห็นจึงเอามือมาจับอวัยวะเพศของจำเลยจนจำเลยสำเร็จความใคร่ น้ำกามพุ่งเลอะมือของจำเลย จำเลยจึงใช้มือลูบคลำและใช้นิ้วใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ทำให้ในช่องคลอดของผู้เสียหายมีสารแอซิดฟอสฟาเตส เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมารับฟังได้มั่นคงปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 จริง ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น เห็นว่า โทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 กำหนดมานั้นเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง แม้ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จะมีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 277 เดิม และให้ใช้ข้อความใหม่แทน แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับ
พิพากษายืน