โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 40775 ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้โจทก์มีสิทธิว่าจ้างบุคคลภายนอกรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินโดยให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินค่าจ้างทั้งหมดที่โจทก์ชำระแก่ผู้รับจ้าง
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงที่ปรากฏในแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.1 และภาพถ่ายหมาย จ.3 พร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 40775 และห้ามจำเลยและบริวารยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป หากไม่รื้อถอน ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ว่า หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้โจทก์มีสิทธิว่าจ้างบุคคลภายนอกรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินโดยให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินค่าจ้างทั้งหมดที่โจทก์ชำระแก่ผู้รับจ้าง ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 3,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 40775 เนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ 2 งาน 99 ตารางวา โดยซื้อมาจากนายเปลี่ยน สามีจำเลย เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2553 เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2562 โจทก์และจำเลยพร้อมด้วยนายประกิจ นางสาวพิมพ์วิมล และนางอิศวีร์พร เดินทางไปที่สถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสงครามเพื่อเจรจาเรื่องที่โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 40775 จากนายเปลี่ยน ที่ดิน น.ส. 3 เล่ม 8 หมู่ที่ 4 และที่ดินตราจองเลขที่ 202 เล่ม 3 หน้า 2 จากนายเปลี่ยน จำเลย นายประกิจ และนายประกอบ เป็นเงิน 9,200,000 บาท มีการชำระราคาแล้วบางส่วน 8,200,000 บาท ยังขาดอีก 1,500,000 บาท คู่กรณีสามารถตกลงกันได้และโจทก์ได้ชำระเงินจำนวนดังกล่าวครบถ้วนในวันดังกล่าวและมีการทำบันทึกข้อตกลงกัน ตามบันทึกตกลงไว้เป็นหลักฐานและสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน ต่อมาโจทก์มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านไม้ชั้นเดียวไม่มีเลขที่ และขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 40775 ภายใน 30 วัน นับแต่วันรับหนังสือ จำเลยรับหนังสือแล้วเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2563 ตามหนังสือบอกกล่าวและใบตอบรับไปรษณีย์ แต่จำเลยเพิกเฉย มีบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงปลูกอยู่บนที่ดินพิพาท และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทำแผนที่พิพาท ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.1
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่า ตามบันทึกตกลงไว้เป็นหลักฐานเอกสารหมาย จ. 4 สรุปได้ความว่า ในวันทำบันทึกคือวันที่ 21 พฤษภาคม 2562 โจทก์และจำเลยกับพวกตกลงกันได้โดยโจทก์ชำระเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือ 1,500,000 บาท ในวันดังกล่าว แล้วจำเลยกับพวกต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินทั้ง 3 แปลง ออกไปภายใน 15 วัน โดยวันที่ 23 พฤษภาคม 2562 เวลา 8 นาฬิกา ต้องให้ช่างรังวัดจากสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสงครามรังวัดที่ดินทั้ง 3 แปลง (รวมที่ดินโฉนดเลขที่ 40775) เพื่อให้ทราบแนวเขตที่ชัดเจน เมื่อได้แนวเขตที่ชัดเจนแล้ว โจทก์และจำเลยตกลงเป็นอันยุติตามผลการรังวัดของช่างรังวัดสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสงคราม และต่างฝ่ายจะไม่เข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินของกันและกันอีกต่อไป บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยให้เสร็จไปโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และผลของสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 จึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลย แสดงว่าโจทก์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวโดยมุ่งที่จะรังวัดที่ดินเพื่อให้ทราบแนวเขตที่ดินให้ชัดเจนเป็นสำคัญ ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าได้มีการรังวัดที่ดินเพื่อให้ทราบแนวเขตที่ดินที่ชัดเจนตามที่ตกลงกันไว้ และในข้อนี้ได้ความจากนายยุคชาญ นายช่างรังวัดชำนาญงาน สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสงคราม ผู้ทำแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.1 เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า ในวันรังวัดจัดทำแผนที่พิพาทไม่พบหลักหมุดของที่ดินทั้งหมด เช่นนี้ ย่อมไม่อาจทราบได้ว่าบ้านหลังดังกล่าวจะอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 40775 หรือไม่ เนื่องจากยังไม่ทราบแนวเขตที่ดินที่แน่นอน กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์ยังไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวซึ่งเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความให้ครบถ้วน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การต่อสู้และยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แต่ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยย่อมยกขึ้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบมาตรา 252 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ