โจทก์บรรยายฟ้องว่า กลางวันวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๔๘๘ จำเลยได้รับมอบธนบัตร์จีนเป็นเงิน ๒๐๐๐๐ เหรียญคิดเป็นเงินไทย ๓๖๐๐ บาท โดยจำเลยรับจะเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยให้ระหว่างวันที่ ๑๗ ถึง ๒๐ เดือนเดียวกับจำเลยได้ยักยอกเสียหรือมิฉะนั้น ในวันที่ ๑๗ ที่กล่าวแล้ว จำเลยทุจจริตแต่แรกใช้อุบายหลอกลวงนายซุ่นไฮ้โดยเอาความเท็จมากล่าว นายซุ่นไฮ้หลงเชื่อมอบธนบัตร์จีนให้จำเลย ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๓๐๔ และ ๓๑๔
จำเลยให้การภาคเสธว่า รับเงินไกจริงเพียง ๒๐๐๐ เหรียญและต่อสู้ในข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์บรรยายความผิดฐานฉ้อโกงและยักยอกขัดกัน ไม่เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงตอนแรกว่า จำเลยรับมอบธนบัตรจีนไปแรกเป็นเงินไทยแล้วยักยอกเสีย แต่แล้วกลับกล่าวว่า หรือมิฉะนั้นจำเลยทุจจริตแต่แรกใช้อุบายหลอกลวงโดยเอาความเท็จมากล่าว นายซุ่นไฮ้หลงเชื่อมอบธนบัตรจีนให้ไป เป็นการกล่าวข้อเท็จจริงขัดแย้งกัน ไม่อาจเข้าใจได้ว่า หาว่าจำเลยกระทำผิดฐานใด พิพากษากลับศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ได้กล่าวชัดเจนแล้วว่า จำเลยได้รับมอบธนบัตรจีนโดยจำเลยรับว่าจะเอาไปแลกเป็นเงินไทยให้ ใครๆ รวมทั้งจำเลยด้วยย่อมเข้าใจว่า จำเลยรับจะเอาไปแลกให้ ส่วนความตั้งใจว่าจะเอาไปแลกให้หรือไม่ หรือว่าเพียงแต่หลอกเพื่อให้มอบธนบัตร์จีนให้นั้น เป็นความในใจซึ่งจำเลยทราบดีกว่าใครญ ไม่มีทางที่จำเลยอาจจะไม่เข้าใจฟ้อง อันจะพึงเป็นเหตุให้หลงข้อต่อสู้แต่ประการใด ส่วนในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่เชื่อว่าได้มีการมอบธนบัตร์กันถึง ๒๐๐๐๐ เหรียญจริงดังฟ้อง คงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์