โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ จำเลยมีกัญชาหนัก ๔๕ กรัม ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๒๖,๗๖, ๑๐๒ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๔, ๘
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๒๖, ๗๖, ๑๐๒ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๔, ๘ ให้จำคุก๘ เดือน ปรับ ๒,๐๐๐ บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ คงจำคุก ๔ เดือน ปรับ ๑,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามมาตรา ๒๙, ๓๐ และให้ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำคุก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๖ วรรคแรก ให้จำคุก ๔ เดือนลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๒ เดือนไม่รอการลงโทษจำคุกและไม่ปรับ นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุก
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกอันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง มีปัญหาวินิจฉัยว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จากรอการลงโทษจำคุกเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกซึ่งเป็นการแก้ไขมากนั้น เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙ ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๓๒ มาตรา ๑๒ อันจะทำให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกนั้น เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยจึงไม่ต้องห้ามจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามบทบัญญัติดังกล่าวและสมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกให้จำเลย.