โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 6, 7, 55, 72, 78 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91 ริบเมทแอมเฟตามีน อาวุธปืน ซองกระสุนปืน เครื่องชั่งดิจิทัล ถุงแบ่งบรรจุยาเสพติด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 55, 72 วรรคหนึ่ง, 78 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ให้ประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง จำคุก 6 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง คงจำคุก 3 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุก 6 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกตลอดชีวิต ริบเมทแอมเฟตามีน อาวุธปืน ซองกระสุนปืน เครื่องชั่งดิจิทัล ถุงแบ่งบรรจุยาเสพติด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสาม (2) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสาม (2) ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางชนิดเม็ด มีจำนวน 1,164 เม็ด และชนิดเกล็ดสีขาว 14 ถุง รวมทั้งสองชนิดคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 6,277.321 กรัม และตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย ได้ความว่า จำเลยได้รับการชักชวนจากนายธวัชชัยหรือกบ ให้เข้าร่วมเครือข่ายยาเสพติดโดยให้จำเลยทำหน้าที่เก็บรักษายาเสพติดและนำยาเสพติดไปส่งแก่ลูกค้าต่อไป จำเลยเคยรับยาเสพติดจากนายธวัชชัยมาแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 เป็นเมทแอมเฟตามีน 600,000 เม็ด ครั้งที่ 2 เป็นเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ด 200,000 เม็ด และชนิดเกล็ดสีขาว 3 กิโลกรัม ครั้งที่ 3 เป็นเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ด 100,000 เม็ด และชนิดเกล็ดสีขาว 5 กิโลกรัม กับทั้งได้ความตามบันทึกจับกุมว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้รับแจ้งจากสายลับว่าจำเลยลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนทั้งชนิดเม็ดและชนิดเกล็ดสีขาวให้แก่ผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่อำเภอพุนพินและพื้นที่ใกล้เคียง ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงจำนวนและปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนของกลางในคดีนี้ที่มีจำนวนมาก ประกอบกับพฤติกรรมที่จำเลยอยู่ในเครือข่ายยาเสพติด ทำหน้าที่รับยาเสพติดเป็นเมทแอมเฟตามีนจำนวนมากถึงครั้งละหลายแสนเม็ดและชนิดเกล็ดสีขาวครั้งละหลายกิโลกรัมมาเก็บรักษาไว้หลายครั้งแล้ว ทั้งยังเป็นผู้ทำหน้าที่จัดการจำหน่ายส่งให้แก่ผู้ค้ารายย่อยในเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่อำเภอพุนพินและพื้นที่ใกล้เคียงรวมทั้งในคดีนี้ด้วย เช่นนี้ตามพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ย่อมทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสาม (2) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า จำเลยให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 และการกระทำความผิดของจำเลย กรณีมีเหตุอันสมควรเป็นการเฉพาะรายตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 152 วรรคสอง อันศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นหรือไม่ เห็นว่า ร้อยตำรวจเอกเอนก เจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมจำเลยเบิกความว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลว่า มีเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนอยู่ที่ห้องพักบริเวณท่าทราย เมื่อตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางแล้วจำเลยยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวนหนึ่งซุกซ่อนอยู่ที่บริเวณห้องแถว จึงตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางดังกล่าว และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานทราบข้อมูลในเบื้องต้นจากสายลับว่าจำเลยมีที่พักอยู่ที่ท่าทราย กับยังได้เบิกความตอบศาลว่า บริเวณท่าทรายนั้น เป็นลานที่มีกองทราย มีโรงซ่อมรถ มีที่พักอยู่ห้องเดียว ดังนั้น เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจทราบอยู่แล้วว่าจำเลยมีที่พักอยู่ที่ท่าทรายดังกล่าว และปรากฏว่ามีที่พักอยู่เพียงห้องเดียว จึงย่อมอยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานตำรวจจะสามารถตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางได้ ส่วนห้องแถวที่ตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางอีกแห่งหนึ่งนั้น ร้อยตำรวจเอกเอนกเบิกความตอบศาลว่า ห้องแถวดังกล่าว ทราบภายหลังว่าคือเลขที่ 26/22 ซึ่งตรงกับที่อยู่ตามทะเบียนราษฎร์ของจำเลย ในข้อนี้จำเลยได้ให้ถ้อยคำในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนว่า จำเลยนำตรวจยึดเมทแอมเฟตามีนของกลางได้ที่ห้องแถวเลขที่ 26/22 ดังกล่าว อีกทั้งจำเลยได้ระบุในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนตามเอกสารดังกล่าวว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 26/22 เช่นเดียวกัน จึงย่อมอยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานตำรวจจะเข้าตรวจค้นได้เองตามที่อยู่ทางทะเบียนราษฎร์ของจำเลยอยู่แล้ว ประกอบกับพันตำรวจโทณัฐพงศ์ เจ้าพนักงานตำรวจผู้สืบสวนขยายผลและสอบปากคำจำเลยเบิกความว่า ข้อมูลที่จำเลยให้ไว้นั้น แม้เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ซึ่งอยู่ระหว่างสืบสวนติดตามตัวอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้มีการดำเนินการออกหมายจับหรือจับกุมบุคคลใด ๆ ดังนั้น กรณีจึงยังไม่อาจถือว่าจำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 ส่วนปัญหาว่ากรณีมีเหตุอันสมควรเป็นการเฉพาะรายอันศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 152 วรรคสอง หรือไม่นั้น เห็นว่า จำเลยอยู่ในเครือข่ายยาเสพติด ทำหน้าที่รับยาเสพติดจำนวนมากมาเก็บรักษาไว้ และจัดการจำหน่ายส่งให้แก่ผู้ค้ารายย่อยต่อไปในเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่อำเภอพุนพินและพื้นที่ใกล้เคียงอันมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง จึงเป็นเรื่องร้ายแรงดังได้วินิจฉัยข้างต้นแล้ว ดังนั้น เมื่อได้พิเคราะห์ถึงความร้ายแรงของการกระทำความผิด ฐานะทางเศรษฐกิจของจำเลยและพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องประกอบแล้ว กรณีจึงยังไม่มีเหตุอันสมควรเป็นการเฉพาะราย อันศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 152 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน