โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2544 เวลากลางคืนหลังเที่ยงถึงวันที่ 8 กันยายน 2544 เวลากลางวัน ทั้งเวลากลางวันและเวลากลางคืนต่อเนื่องกันวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดจำเลยได้กระทำชำเราเด็กหญิง น. อายุ 14 ปีเศษ ซึ่งมิใช่ภริยาของตนหลายคราวต่อเนื่องกันไปหลายวันรวม 11 ครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2544 เวลากลางวัน จำเลยข่มขืนกระทำชำเรานางสาว น. ผู้เสียหาย ซึ่งขณะเกิดเหตุอายุ 15 ปีเศษ โดยใช้กำลังประทุษร้ายจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง ทั้งนี้ผู้เสียหายไม่ยินยอมทุกครั้ง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมยาคุมกำเนิด 9 เม็ด ซึ่งจำเลยมีไว้เพื่อใช้ให้ผู้เสียหายรับประทานหลังจากที่จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราทุกครั้ง เพื่อป้องกันมิให้ผู้เสียหายตั้งครรภ์เป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 276, 277 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก, 277 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตน จำคุกกระทงละ 4 ปี รวม 10 กระทง ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 45 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 30 ปี และริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นซึ่งมิใช่ภริยาของตน จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 9 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นตามที่คู่ความไม่ได้ฎีการรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรานางสาว น. ผู้เสียหายครั้งที่ 1 และครั้งที่ 11 ตามฟ้องจริง มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายครั้งที่ 2 ถึงครั้นที่ 10 หรือไม่ พยานโจทก์มีตัวผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2544 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา และจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2544 เวลาประมาณ 12 นาฬิกา และผู้เสียหายยังเบิกความอีกว่า ถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเรารวม 11 ครั้ง แต่ผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ผู้เสียหายจำไม่ได้ว่าครั้งที่ 2 ถึงครั้งที่ 10 ถูกข่มขืนกระทำชำเราที่บริเวณไหนและวันเวลาใด ซึ่งวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุเป็นข้อสาระสำคัญแห่งคดีที่โจทก์จะต้องนำสืบให้เห็นอย่างแจ้งชัด ตลอดจนโจทก์จะต้องนำสืบถึงรายละเอียดแห่งการกระทำความผิดของจำเลยในความผิดครั้งที่ 2 ถึงครั้งที่ 10 ด้วย เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นอย่างแจ้งชัดว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายครั้งที่ 2 ถึงครั้งที่ 10 ที่บริเวณไหน วันเวลาใดและกระทำอย่างใด กรณีจึงมีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายครั้งที่ 2 ถึงครั้งที่ 10 หรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งให้ริบยาคุมกำเนิดของกลางนั้น เห็นว่า ยาคุมกำเนิดมิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเพราะมิใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) จึงไม่อาจริบได้ ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง"
พิพากษายืน แต่ไม่ริบยาคุมกำเนิดของกลางโดยคืนแก่เจ้าของ