โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 8, 14 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 26, 76/1 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 8 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76/1 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 7 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นการให้ความรู้แก่ศาล อันเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้คนละหนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 5 ปี 3 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายวัชระ พร้อมยึดกัญชา 8 แท่ง น้ำหนัก 7.95 กิโลกรัม เป็นของกลาง นายวัชระรับว่าจะนำกัญชาของกลางไปส่งให้จำเลยที่ 1 ระหว่างนั้นจำเลยที่ 1 ได้โทรศัพท์ติดต่อนายวัชระและนัดสถานที่ส่งมอบกัญชาของกลางโดยจำเลยที่ 1 แจ้งยี่ห้อและเลขทะเบียนรถยนต์ให้นายวัชระทราบ เจ้าพนักงานตำรวจจึงนำกำลังไปตรวจค้นจับกุมจำเลยทั้งสองซึ่งจอดรถยนต์รออยู่บริเวณแยกวัดห้วยมงคลในทันที จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมโดยได้เขียนบันทึกคำรับสารภาพด้วยลายมือตนเอง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานสมคบกับจำเลยที่ 1 และนายวัชระเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสบคบกันและร่วมกันมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 นั่งอยู่ภายในรถยนต์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นคนขับนั้น แม้จำเลยที่ 1 ได้โทรศัพท์ติดต่อพูดคุยกับนายวัชระหลายครั้ง โดยไม่ได้พูดคุยเกี่ยวกับกัญชาของกลางแต่ก็เป็นการพูดคุยเพื่อนัดหมายสถานที่ส่งมอบของซึ่งเป็นกัญชาจำนวนถึง 7.95 กิโลกรัม นับว่าเป็นจำนวนมากยากแก่การปกปิดมิให้ผู้ติดตามมาด้วยล่วงรู้ได้ ทั้งความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายนั้นเป็นเรื่องร้ายแรงมีโทษสูง ตามปกติของคนร้ายทั่วไปย่อมปกปิดการกระทำของตนไม่ให้บุคคลภายนอกร่วมรู้เห็นการกระทำความผิดของตน เมื่อจำเลยที่ 1 โทรศัพท์ติดต่อนายวัชระเพื่อซื้อขายกัญชา และมีการนัดหมายสถานที่ส่งมอบโดยมีการโอนเงินให้นายวัชระแล้ว การที่จำเลยที่ 2 ร่วมเดินทางไปกับจำเลยที่ 1 โดยเป็นคนขับรถยนต์ให้จำเลยที่ 1 และไปจอดรถยนต์เพื่อรอรับกัญชาของกลางจากนายวัชระในบริเวณที่จำเลยที่ 1 นัดหมายกับนายวัชระทางโทรศัพท์นั้น ตามพฤติการณ์ดังกล่าว บ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ร่วมรู้เห็นกับจำเลยที่ 1 โดยช่วยทำหน้าที่ขับรถยนต์พาจำเลยที่ 1 ไปรับกัญชาที่สั่งซื้อจากนายวัชระอันเป็นการกระทำที่เป็นขบวนการโดยแบ่งหน้าที่กันทำ ถือเป็นการร่วมคบคิดกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานสมคบกับจำเลยที่ 1 และนายวัชระเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 8 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อจำเลยทั้งสองฝ่ายผู้ซื้อยังไม่ได้รับมอบกัญชาของกลางจากนายวัชระฝ่ายผู้ขาย จำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นตัวการร่วมกับนายวัชระครอบครองกัญชาของกลาง เพราะจำเลยทั้งสองฝ่ายผู้ซื้อไม่อาจครอบครองกัญชาของกลางร่วมกับนายวัชระฝ่ายผู้ขายได้ในขณะเดียวกัน จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และเมื่อการซื้อขายกัญชาของกลางไม่สำเร็จ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 8 วรรคสอง แต่การที่จำเลยทั้งสองไปรอรับกัญชาของกลางจากนายวัชระที่จุดนัดหมาย ถือเป็นการกระทำที่ใกล้ชิดต่อความผิดสำเร็จเข้าขั้นลงมือกระทำความผิดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 และศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 และพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 8 วรรคสอง ด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76/1 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 8 วรรคหนึ่ง ความผิดฐานร่วมกันพยายามมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย กับความผิดฐานสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันพยายามมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 4 ปี 8 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 3 ปี 6 เดือน