โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน 1,181,673 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน1,157,182 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 585,310 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 มิถุนายน2539 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง(วันที่ 13 กันยายน 2539) ต้องไม่เกิน 24,491 บาท
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินจำนวน534,810 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24มิถุนายน 2539 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "เห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยจะระบุมาในฎีกาว่าคดีจำเลยมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน 216,326 บาทแต่มูลหนี้ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาตามฎีกาของจำเลย จำเลยก็ได้แยกออกตามฟ้องเป็น 3 จำนวน คือ หนี้ตามสัญญาเช่ารถชุดเกรดถนนจำนวน31,125 บาท หนี้ตามสัญญาซื้อขายหินคลุกจำนวน 72,720 บาทและหนี้ตามสัญญาจ้างทำของค่าราดยางถนนจำนวน 112,481 บาทหนี้ตามสัญญาเช่าทรัพย์ หนี้ตามสัญญาซื้อขายและหนี้ตามสัญญาจ้างทำของตามฟ้องฎีกาของจำเลย ต่างเป็นหนี้คนละรายโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน มูลความแห่งคดีของหนี้ทั้งสามรายจึงสามารถแยกออกจากกันได้ ดังนั้น ทุนทรัพย์ในคดีที่จะนำมาพิจารณาว่า ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่ จึงต้องแยกออกตามสัญญาเช่าทรัพย์สัญญาซื้อขายและสัญญาจ้างทำของเป็นคนละส่วนกัน เมื่อปรากฏว่ามูลหนี้ที่พิพาทกันแต่ละสัญญามีจำนวนไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาโต้เถียงว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่น่าเชื่อถือ และไม่น่ารับฟังว่าจำเลยตกลงเช่ารถชุดเกรดถนนจากโจทก์เป็นเงินวันละ 18,000 บาท ก็ดี พื้นที่ถนนที่จำเลยว่าจ้างให้โจทก์ราดยางมิได้มากตามที่โจทก์นำสืบก็ดี และจำเลยมิได้ซื้อหินคลุกตามฟ้องจากโจทก์ แต่โจทก์เป็นเพียงตัวแทนซื้อหินคลุกให้จำเลยก็ดีล้วนแต่เป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งสิ้น จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้"
พิพากษายกฎีกาของจำเลย