โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2537 จำเลยได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 3985 และ 12318 ตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมเป็นเงิน 8,000,000 บาท โดยยินยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดไถ่ถอนจำนองภายใน 2 ปี แต่จำเลยไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามสัญญาตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2538 โจทก์จึงมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองแต่จำเลยเพิกเฉย ดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2538 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 5,500,000 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 13,500,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 13,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 8,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น หากจำเลยไม่ชำระ ขอให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินสุทธิมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินและไม่เคยได้รับเงินตามฟ้อง โจทก์ไม่ใช่ผู้ให้กู้ยืม การกู้ยืมเงินตามฟ้องไม่สมบูรณ์ ทั้งไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ประมาณเดือนพฤษภาคม 2537 นายติ่งกัง บิดาโจทก์ตกลงให้บริษัทสยาม ซี.เอ.เอส.แลนด์ จำกัด กู้ยืมเงิน 8,000,000 บาท ในการนี้ นายติ่งกังและบริษัทสยาม ซี.เอ.เอส.แลนด์ จำกัด ได้ขอยืมโฉนดที่ดินของจำเลยไปเป็นประกันการกู้ยืม ตลอดระยะเวลาการกู้ยืมนั้น ผู้กู้ได้ชำระดอกเบี้ยและต้นเงินโดยชำระเป็นเงินและนำที่ดินมาตีชำระหนี้ให้แก่นายติ่งกังเป็นเงิน 10,000,000 บาท คงเหลือยอดหนี้ค้างชำระเพียง 3,500,000 บาท จำเลยไม่เคยได้รับการบอกกล่าวบังคับจำนอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 13,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 8,000,000 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ถ้าไม่ชำระ ให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 25,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถา จึงไม่กำหนดค่าทนายความให้โจทก์
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า จำเลยได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 3985 และ 12318 ตำบลระแหง อำเภอหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ ตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.2 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กู้เงินโจทก์โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินไว้เป็นประกันตามสัญญาเอกสารหมาย จ.2 และรับเงินไปจากโจทก์แล้วไม่ชำระหนี้ตามสัญญาหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความยืนยันว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ 8,000,000 บาท ตกลงยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และจำเลยรับเงินไปจากโจทก์เรียบร้อยแล้ว โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินไว้เป็นประกัน ตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.2 ส่วนจำเลยนำสืบปฏิเสธอ้างว่าไม่ได้กู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ แต่นายไพศาลซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทสยาม ซี.เอ.เอส. แลนด์ จำกัด เป็นผู้กู้เงินจากบิดาโจทก์ และจำเลยไม่เคยรับเงินจากโจทก์ จำเลยถูกขอร้องให้นำที่ดินมาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการชำระหนี้เท่านั้น เห็นว่า จำเลยยอมรับว่าได้จดทะเบียนจำนองที่ดินไว้เป็นประกันแก่โจทก์จริง ตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.2 โดยไม่ได้ปฏิเสธความถูกต้องแท้จริงของสัญญาดังกล่าวแต่อย่างใด เมื่อพิเคราะห์สัญญาจำนองตามเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 1. ระบุชัดว่า จำเลยผู้จำนองตกลงจำนองที่ดินแก่โจทก์ผู้รับจำนอง เพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงิน ซึ่งจำเลยผู้จำนองได้กู้ยืมไปจากโจทก์ผู้รับจำนอง และให้ถือสัญญาจำนองฉบับนี้เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินด้วยเป็นเงิน 8,000,000 บาท และในสัญญาข้อ 3. ระบุว่าผู้รับจำนองได้รับเงินเป็นการเสร็จแล้ว ดังนั้น การที่จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบว่าความจริงแล้ว จำเลยไม่ได้เป็นผู้กู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ แต่บริษัทสยามซี.เอ.เอส.แลนด์ จำกัด และนายไพศาลผู้ถือหุ้นในบริษัท ดังกล่าวเป็นผู้รับเงิน เป็นการนำสืบแตกต่างจากข้อความที่ระบุในสัญญา อันเป็นการนำพยานบุคคลมาสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารในกรณีที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ จึงต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 (ข) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า เป็นการนำพยานบุคคลมาสืบถึงความไม่สมบูรณ์แห่งหนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย จำเลยย่อมนำสืบได้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยกู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว 8,000,000 บาท ตกลงยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.2 (ข้อ 1.) และจำเลยรับเงินเป็นการเสร็จแล้ว (ตามข้อ 3.) เมื่อครบสัญญา 2 ปี จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ให้โจทก์คิดถึงวันฟ้องคือวันที่ 20 มกราคม 2543 จำเลยค้างชำระหนี้โจทก์เป็นต้นเงินและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 13,500,000 บาท ก่อนฟ้องโจทก์ได้มอบให้ทนายความมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ และบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์ตามสัญญา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล"
พิพากษายืน จำเลยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีในชั้นฎีกาอย่างคนอนาถาจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้