โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของทีนาโดยรับมรดกจากบิดา จำเลยได้สมคบกันทำพินัยกรรมปลอมขึ้นเพื่อแย่งเอาที่นาของโจทก์ไปให้จำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยได้บุกรุกเข้าไปทำนา จึงให้บงคับออกจากที่ และทำลายพินัยกรรม จำเลยต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของนายโสภา ๆ ได้ทำพินัยกรรมยกให้จำเลย ไม่ใช่พินัยกรรมปลอม
ปรากฏตามรายงานพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้อ้างและส่งพินัยกรรมฉบับหนึ่งต่อศาล ศาลตรวจดูและถามโจทก์แล้ว โจทก์ไม่คัดค้านในการอ้าง แต่โจทก์ว่าพินัยกรรมที่จำเลยส่งนั้น พวกจำเลยได้สมคบกันทำปลอมขึ้น จะทำปลอมอย่างไร โจทก์ไม่กล่าและงดสืบพยานขอให้ศาลวินิจฉัย
พินัยกรรมฉบัยนี้ มีลายพิพม์นิ้วมือของนายโสภา ภูทองเทียน ผู้ให้ มีพยาน๒ คนลงชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือคือ นายโอม ภูกว้าง และสามีนางกว้างผู้รับพินัยกรรมและมีลายมือชื่อนายปน ภูบาสี ลงชื่อเป็นพยานให้ ลายพิพม์นิ้วมือของนายโสภา ภูทองเทียน และปรากฏว่าในช่องผู้รับมอบพินัยกรรม ผู้รับพินัยกรรมและผู้เขียน มีคำว่านายโสภา ภูทองเทียน นายกว้าง สีสุทัด และนายทอง สมุร์ ณ กาฬสินธ์ ซึ่งนายทองสมุทรเป็นผู้เขียนโดยตลอด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ทำบายพินัยกรม และให้จำเลยออกจากที่พิพาท
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้จะปรากฏว่า ในช่องผู้มอบพินัยกรรม ผู้รับพินัยกรรม และผู้เขียน นายทองสมุทรเป็นผู้เขียนโดยตลอด ก็อาจจะเขียนลงไว้ให้ทราบว่า ในช่องที่มีลายนิ้วมือสีเหลืองนั้น เป็นลายพิมพ์นิ้วมือของใครก็ได้ จึงได้เขียนกำกับเอาไว้ ซึ่งเขียนลงไว้หรือไม่เขียนไม่สำคัญ เพราะมีลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ทำพินัยกรรม และมีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือนั้นไว้แล้ว แต่พยาน ๒ คนที่รับรองลายพิมพ์นิ้วมือนี้ คนหนึ่งเป็นสามีนางกว้าง ผู้รับพินัยกรรม จึงคงเหลือพยานแต่นายโฮม ภูกว้าง คนเดียว จึงพิพากษายืน
ศาลฎีกาได้ตรวจพินัยกรรมที่อ้างแล้ว เห็นว่าเมื่อพิเคราะห์โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ในเบื้องต้นจะว่าไม่บริบูรณ์ไม่ได้ เมื่อพินัยกรรมซึ่งปรากฏโดยเฉพาะไม่มีอะไรชำรุดบกพร่อง หากแต่มีอะไรเกินเลยหรือทำให้เป็นที่สงสัยได้บ้างเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จำต้องรับฟังไว้ก่อน เมื่อโจทก์ว่าปลอมก็เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบตามข้ออ้างของตน เมื่อโจทก์ไม่สืบให้เห็นว่ามีพิรุธเสียหายปลอมแปลงอย่างไร ตรงไหน ให้เป็นที่แน่นอน ศาลก็ยากที่จะฟังว่าปลอมได้ ที่ศาลล่างว่า ลายเขียนในช่องผู้ให้ ผู้รับและพยานไม่เหมือนกับข้อความอื่นในพินัยกรรมนั้น ศาลอุทธรณ์ก็ได้ชี้แจงอธิบายเหตุผลไว้แล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ทั้งพินัยกรรมก็มีลายพิพม์นิ้วมือปรากฏอยู่ และมีผู้เป็นพยานรับรองด้ว ลายพิพม์นิ้วมือแม้จะไม่ชัดแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะพึงถือได้ว่าปลอม
ส่วนข้อที่ศาลอุทธรณ์ว่า พยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ คงเหลือแต่นายโอมคนเดียว ไม่พึงเอานายปุ่นมารวมเป็นพยานรับรองลายพิพม์นิ้วมือรวมกับนายโฮมนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย เพราะในการรับรองลายพิพม์นิ้วมือ หาจำต้องมีข้อควมเขียนบอกไว้ให้ชัดเจนเช่นนั้นด้วยไม่ ว่าได้รับรองลายพิมพ์นิ้วมือด้วย เพียงแต่พินัยกรรมมีลายพิมพ์นิ่วมือผู้ให้ แล้วมีพยาน ๒ คนลงรวมกันกำกับรับรองไ้ก็เพียงพอแล้ว จึงเห็นว่า พินัยกรรมมีพยานถูกต้องแล้ว จึงเห็นว่า พินัยกรรมมีพยานถูกต้องแล้ว
จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง