ได้ความว่าจำเลยกับ ท.ฮ.ค.ถ.พากันไปเที่ยว ท.ถูกพวกที่ไปด้วยกันฆ่าตาย โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยเปนผู้ฆ่า แลนำ ค.ซึ่งเปนพวกที่ไปด้วยกันมาเลิกความว่า จำเลยกับ ถ.เปนผู้ฆ่า ท.ตาย แลมี อ.เบิกความว่าไปตัดไม้ในป่ากับ ส.ได้ยินเสียงคนร้องจึงออกมายืนดูริมทางเห็นจำเลยกับ ถ.ไล่ ท.ไป กับมีนายอุ้ยอีกปากหนึ่งว่า จำเลยบอกพะยานต่อหน้านายอ่อนสาว่าเปนคนฆ่า ท.ตาย ดังนี้
ศาลเดิมตัดสินว่าจำเลยมีผิดตาม ม.๒๔๙ ให้จำคุก ๒๐ ปี ลดตาม ม.๕๙ เสีย ๑ ใน ๔ คงจำคุก ๑๕ ปี
ศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์ว่า ค.พะยานของโจทก์คนนี้ เมื่อเกิดเหตุแล้วได้หลบหนีไป ส่วนจำเลยได้มาแจ้งแก่ผู้ใหญ่บ้านแลอำเภอว่า ค.แล ถ.เปนคนฆ่า ท. นายอำเภอจึงทำอุบายเกลี้ยกล่อมมารดาของ ค.ว่า ถ้าคนที่ไม่ใช้ต้นคิดฆ่า ท.มาหาบอกความสัตย์จริงจะช่วย ค.เข้ามาหาอำเภอบอกว่าจำเลยฆ่าก็เพราะมีหวังจะไม่ต้องโทษ ฉะนั้นถ้อยคำของ ค.จึงมีน้ำหนักน้อยที่สุด ส่วน อ.ที่อ้างว่าตัดไม้อยู่กับ ส.นั้น โจทก์ก็หาได้อ้าง ส.มาเปนพะยานด้วยไม่ แลคำนายอุ้ยขัดกับคำนายอ่อนสา เพราะฉะนั้นคดีของโจทก์จึงไม่พอลงโทษจำเลยให้ยกฟ้องเสีย