โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าเช่าและดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง 163,237.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 163,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 163,237.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 163,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยเช่าที่ดินในตลาดของโจทก์เพื่อทำการค้า อัตราค่าเช่าวันละ 250 บาท จำเลยค้างชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนมกราคม 2539 ถึงเดือนมีนาคม 2542 รวมเป็นเงิน 163,000 บาท ตามรายการค่าเช่าเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระค่าเช่า จำเลยขอลดค่าเช่าที่ค้างชำระดังกล่าวลงเหลือ 70,000 บาท โดยลงลายมือชื่อไว้ตามบันทึกเอกสารหมาย จ.4 แต่โจทก์ไม่ยินยอม ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าบันทึกเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งมีข้อความว่า "ข้าพเจ้านางบุญชู (จำเลย) ขอรับว่าเป็นหนี้ค่าเช่าที่ขายของคุณอารี (โจทก์) จริงตามคำบอกกล่าวของทนายที่แจ้งมาแล้วนั้น แต่นางบุญชู (จำเลย) ขอลดหนี้จะชำระเพียง 70,000 บาท จึงยังตกลงกันไม่ได้ ทนายจึงต้องสอบถามจากคุณอารี (โจทก์) เจ้าหนี้เสียก่อนว่าจะมีความเห็นประการใด จึงได้ลงชื่อกันไว้ต่อหน้าพยาน" นั้นจะถือเป็นหลักฐานการเช่าสำหรับฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายได้หรือไม่ เห็นว่า ข้อความในบันทึกเอกสารหมาย จ.4 เป็นเรื่องที่จำเลยยอมรับว่าได้เช่าที่ดินโจทก์และยังค้างชำระค่าเช่าอยู่จริง เมื่อจำเลยลงลายมือชื่อในบันทึกดังกล่าวย่อมถือได้ว่าบันทึกเอกสารหมาย จ.4 เป็นหลักฐานการเช่าอันจะนำมาฟ้องร้องขอให้บังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน