โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 341, 343
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก (ที่ถูก มาตรา 343 วรรคแรก (เดิม)) จำคุก 3 ปี
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์และจำเลยต่างลงทุนซื้อแพ็กเกจกับบริษัท Massive ad world wide ซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำการตลาดบนโลกออนไลน์โดยวิธีการโปรโมตเว็บไซต์ให้แก่สินค้าแบรนด์เนมทั่วโลกผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งโฆษณาชวนเชื่อว่าหากแนะนำให้ผู้อื่นมาร่วมลงทุนกับบริษัทดังกล่าวจะได้รับค่าแนะนำคิดเป็นอัตราร้อยละ 5 ของจำนวนเงินลงทุนตามแพ็กเกจ และหากสามารถจับคู่ร่วมลงทุนกับบริษัทดังกล่าวจะได้รับค่าแนะนำคิดเป็นอัตราร้อยละ 10 ของจำนวนเงินลงทุนจับคู่กันตามโฆษณา โจทก์โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยหลายครั้งรวมเป็นเงิน 5,950,600 บาท เพื่อให้จำเลยซื้อแพ็กเกจให้ และโจทก์ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากบริษัทดังกล่าวมาจำนวนหนึ่ง
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ชักชวนสมาชิกมาร่วมลงทุนกับจำเลยประมาณสิบกว่าคน โดยให้คำรับรองว่า บริษัท Massive ad world wide จะคืนเงินลงทุนให้ภายใน 3 เดือน หากบริษัทดังกล่าวไม่คืนเงินให้ โจทก์จะใช้เงินส่วนตัวคืนเงินลงทุนให้แก่ทุกคน อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีพฤติการณ์ในการชักชวนผู้อื่นให้มาลงทุนเช่นเดียวกับจำเลยก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ในขณะที่โจทก์ชักชวนผู้อื่นมาร่วมลงทุนนั้น โจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าบริษัทดังกล่าวไม่สามารถให้ผลตอบแทนได้ดังที่โฆษณา แล้วไปหลอกลวงให้ผู้อื่นมาร่วมลงทุนด้วย นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังได้ความอีกว่า หลังจากโจทก์ทราบว่าบริษัทดังกล่าวหลอกลวงไม่สามารถให้ผลตอบแทนดังที่โฆษณาแล้ว โจทก์ได้คืนเงินให้แก่บุคคลที่โจทก์ชักชวนให้มาร่วมลงทุนไปแล้ว รูปคดีจึงยังฟังไม่ได้ว่า โจทก์มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ซึ่งมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และพิพากษายกฟ้องมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่เนื่องจากคดีนี้โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ด้วยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โดยยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยในปัญหาดังกล่าว เพื่อให้การวินิจฉัยเป็นไปตามลำดับชั้นศาลเพราะผลแห่งการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิการฎีกาของคู่ความได้ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2) ประกอบด้วยมาตรา 225
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี