โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นวัดในพระพุทธศาสนาเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มีพระภิกษุทวี ฐีตเปโม เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาส มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการแทนโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 11368 ให้โจทก์แล้ว ต่อมาได้จำนองที่ดินดังกล่าวไว้แก่จำเลยที่ 2โดยไม่สุจริต ขอให้พิพากษาว่านิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2เป็นโมฆะ และบังคับให้จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 11368เป็นชื่อโจทก์ โดยจำเลยที่ 1เสียค่าธรรมเนียมในการโอนทางทะเบียนฝ่ายเดียวหากจำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่เป็นนิติบุคคล ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2ศาลชั้นต้นอนุญาต จำหน่ายคดีจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่ดิน น.ส.3 ก. ของพระเท้งบิดาจำเลยที่ 1ยกให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อมาปี 2527 พระเท้งไปแจ้งหลวงปู่ชม อณังคโน เจ้าอาวาสวัดทุ่งยาวว่าจะยกที่ดินพิพาทให้สร้างวัด แล้วร่วมกับจำเลยที่ 1 นำชี้แนวเขตที่ดินให้หลวงปู่ชมดูปี 2528หลวงปู่ชมเป็นประธานในการก่อสร้างวัดโจทก์ในที่ดินพิพาท โดยเริ่มสร้างศาลาหอฉันก่อน ปี 2529 จำเลยที่ 1 ขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินส่วนที่ยกให้สร้างวัดออกมาเป็น น.ส. 3 ก.เลขที่ 3445 และต่อมาได้นำไปขออกโฉนดเป็นโฉนดที่ดินพิพาทในปี 2530 จำเลยที่ 1ยื่นคำขออนุญาตสร้างวัดต่อนายอำเภอท้องที่พร้อมกับทำหนังสือสัญญายกที่ดินให้สร้างวัดในปีเดียวกันกรมการศาสนาพิจารณาคำขอแล้วออกหนังสืออนุญาตให้สร้างวัดได้ ปัจจุบันวัดโจทก์มีพระทวี ฐีตเปโมเป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาส แต่งตั้งโดยเจ้าคณะธรรมยุติ อำเภอจังหวัดปราจีนบุรี มีสิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติม ได้แก่ศาลาบำเพ็ญกุศล กุฎิพระ ที่พัก อุบาสิกา โรงครัวและมีพระภิกษุจำพรรษาประมาณ 5 ถึง 8 รูปในแต่ละปี
วินิจฉัยข้อกฎหมายว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่โดยโจทก์ฎีกาว่า เมื่อกรมการศาสนาได้ออกหนังสืออนุญาตให้สร้างวัดโจทก์แล้ว วัดโจทก์ย่อมเป็นวัดประเภทสำนักสงฆ์ และมีฐานะเป็นนิติบุคคลจึงมีอำนาจฟ้องนั้น ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505มาตรา 31 ที่แก้ไข วัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล และวัดมีสองอย่าง อย่างหนึ่งคือสำนักสงฆ์ ตามมาตรา 32 การสร้างวัดและการตั้งวัดให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวงและตามกฎกระทรวงฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2504) ซึ่งออกตามความใน มาตรา 6 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดวิธีการสร้างวัดและการตั้งวัดไว้ว่าในการสร้างวัด ให้ผู้ประสงค์จะสร้างวัดยื่นคำขออนุญาตต่อนายอำเภอท้องที่ที่จะสร้างวัด พร้อมด้วยรายการและเอกสารต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ และเมื่อได้มีการพิจารณาการปรึกษาและการรายงานการขอสร้างวัดโดยหน่วยราชการต่าง ๆ ตามลำดับจนถึงมหาเถรสมาคมเห็นชอบด้วยแล้วให้กรมการศาสนาออกหนังสืออนุญาตให้สร้างวัดได้ สำหรับการขอตั้งวัดนั้น เมื่อได้สร้างเสนาสนะขึ้นเป็นหลักฐานพร้อมที่จะเป็นที่พำนักของพระภิกษุสงฆ์ได้แล้ว ให้ผู้ได้รับอนุญาตสร้างวัด ทายาทหรือผู้แทนเสนอรายงานการก่อสร้างและจำนวนพระภิกษุที่จะอยู่ประจำไม่น้อยกว่าสี่รูป พร้อมทั้งเสนอนามวัดและนามพระภิกษุผู้สมควรเป็นเจ้าอาวาสเพื่อขอตั้งเป็นวัดต่อนายอำเภอและเมื่อมีการพิจารณา การปรึกษาและการรายงานการขอตั้งวัดโดยหน่วยงานราชการต่าง ๆ ตามลำดับ จนถึงมหาเถรสมาคมพิจารณาเห็นชอบด้วยกระทรวงศึกษาธิการจะได้ประกาศตั้งวัดในราชกิจจานุเบกษาตามแบบ ว.1 ท้ายกฎกระทรวงจากบทบัญญัติของกฎหมายและกฎกระทรวงดังกล่าว จะเห็นได้ว่า วัดที่จะมีฐานะเป็นนิติบุคคลซึ่งหมายความรวมถึงวัดประเภทสำนักสงฆ์ด้วยนั้น หลังจากกรมการศาสนาออกหนังสืออนุญาตให้สร้างวัดแล้ว ยังจะต้องมีการดำเนินการเพื่อขอตั้งเป็นวัดต่อนายอำเภอและผ่านขั้นตอนการพิจารณา การปรึกษาและการรายงานการขอตั้งวัด โดยหน่วยงานราชการต่าง ๆ ตามลำดับ จนเมื่อมหาเถรสมาคมพิจารณาเห็นชอบด้วยแล้ว กระทรวงศึกษาธิการจึงจะประกาศตั้งเป็นวัดในราชกิจจานุเบกษาได้ ดังนั้นวัดโจทก์แม้จะได้รับอนุญาตให้สร้างวัดแล้วแต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่ายังไม่ได้มีการดำเนินการเพื่อตั้งเป็นวัด และได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ตั้งวัดตามกฎหมายย่อมจะถือว่าขณะยื่นฟ้องโจทก์เป็นวัดประเภทสำนักสงฆ์อันจะทำให้มีฐานะเป็นนิติบุคคลหาได้ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน