โจทก์ฟ้องและขอเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เมื่อครั้งเป็นเจ้าพนักงานพัสดีเรือนจำจังหวัดตาก และจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งผู้คุมชั้นสอง มีอำนาจหน้าที่ทำและดูแลรักษาเอกสารเกี่ยวแก่ตัวผู้ต้องคุมขัง ได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทงต่างกรรมต่างวาระกัน คือ
ก. เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๐๖ เวลากลางวัน จำเลยได้ร่วมกันปล่อยตัวนายเฮง เชื้อดี ซึ่งต้องขังอยู่ในเรือนจำจังหวัดตากให้หลุดพ้นจากการคุมขัง และเมื่อระหว่างวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๐๖ ถึงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๐๗ เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยมิได้รายงานให้ผู้บัญชาการเรือนจำและกรมราชทัณฑ์ทราบถึงการหลบหนีของนายเฮง
ข. เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๐๖ เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใส่ชื่อนายเฮงลงในบัญชีรายชื่อผู้ขอรับพระราชทานอภัยโทษ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีตัวนายเฮงต้องขังอยู่ในเรือนจำ เสนอบัญชีต่อคณะกรรมการพิจารณาลดโทษ คณะกรรมการหลงเชื่อ ได้ลงมติลดโทษให้นายเฮงตามที่จำเลยเสนอ
ค. เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๐๗ และวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๐๗ เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันปลอมเอกสารราชการ คือ
๑. สลักหลังหมายจำคุกที่ศาลออกให้ใหม่ว่าได้ตรวจถูกต้องแล้วเสนอผู้บัญชาการเรือนจำเพื่อให้ปล่อยตัวนายเฮง เป็นการรับรองหลักฐานที่เป็นความเท็จ เพราะนายเฮงได้หลบหนีไปแล้ว
๒. กรอกข้อความในแบบ ร.ท.๒๕ (ใบสำคัญการพ้นโทษ) ว่านายเฮงต้องจำคุกมาพอแก่โทษแล้ว และจำเลยที่ ๒ พิมพ์ลายมือแทนนายเฮงลงไปในแบบนั้นเสนอผู้บัญชาการเรือนจำลงนาม
๓. จำเลยที่ ๒ พิมพ์ลายนิ้วมือแทนนายเฮงในช่องเมื่อพ้นโทษในเอกสาร "ทะเบียนตัวผู้ต้องคุมขัง" เป็นการเพิ่มเติมในเอกสารที่แท้จริง
๔. ทำปลอมขึ้นทั้งฉบับ เป็นหนังสือจากผู้บัญชาการเรือนจำถึงนายอำเภอสามเงาว่า นายเฮงพ้นโทษเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๐๗ จะกลับไปอยู่อำเภอสามเงาภูมิลำเนาเดิม แล้วเสนอหนังสือนั้นให้ผู้บัญชาการลงนาม ซึ่งความจริงนายเฮงได้หลบหนีไปแล้ว การกระทำดังกล่าวทำให้นายปริญญา แดงประดับ รักษาการแทนผู้บัญชาการเรือนจำหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง จึงลงนามในเอกสารตาม (๑) (๒) และ (๔) ทำให้เกิดความเสียหายแก่นายปริญญาและกรมราชทัณฑ์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๑๖๑, ๑๖๒(๑), ๑๖๕, ๑๙๑, ๒๐๔, ๒๖๔, ๒๖๕, ๘๓, ๙๐ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๓
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์ข้อ ค. (๑) (๒) (๓) และ (๔) เป็นฟ้องเคลือบคลุมลงโทษไม่ได้ แต่การที่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานไม่รายงานการหลบหนีของนายเฮงต่อผู้บังคับบัญชา เป็นการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๓ กระทงหนึ่ง และในการปฏิบัติราชการตามหน้าที่ จำเลยทั้งสองร่วมกันทำบัญชีขอพระราชทานอภัยโทษต่อคณะกรรมการพิจารณาอภัยโทษรับรองว่านายเฮงมีตัวอยู่ในเรือนจำเป็นความเท็จ เป็นผิดมาตรา ๑๖๒(๑) ตามประมวลกฎหมายอาญาอีกกระทงหนึ่ง ที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา ๑๖๕, ๑๙๑, ๒๐๔ นั้น ไม่ได้ความว่าเป็นเรื่องจำเลยทั้งสองป้องกันหรือขัดขวางมิให้นายเฮงต้องรับโทษจำคุกตามหมายจำคุกของศาลแต่ประการใด เป็นเรื่องจำเลยที่ ๒ ทำให้นายเฮงหลบหนีจากการควบคุมไปโดยประมาท จึงลงโทษจำเลยตามโจทก์ขอไม่ได้ ส่วนที่โจทก์ขอลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา ๑๖๑, ๒๖๔ และ ๒๖๕ เมื่อได้วินิจฉัยว่าฟ้องข้อ ค. ของโจทก์เคลือบคลุมเสียแล้ว จึงลงโทษจำเลยตามมาตราที่โจทก์ขอไม่ได้ พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๓ กระทงหนึ่ง และมาตรา ๑๖๔(๑) อีกกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา ๑๕๗ ซึ่งได้แก้ไขแล้ว อันเป็นกระทงที่หนักที่สุดแค่กระทงเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ให้จำคุกจำเลยไว้คนละ ๒ ปี คำขอข้ออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องข้อ ค. ของโจทก์ที่หาว่าจำเลยปลอมเอกสารไม่เคลือบคลุม แต่ฟังข้อเท็จจริงว่า มีตัวนายเฮงอยู่ในเรือนจำตลอดมาโดยมิได้หลบหนี พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปลอมเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๑๖๑, ๑๖๒(๑), ๒๖๔, ๒๖๕ การกระทำของจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามมาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามมาตรา ๙๐ ส่วนกำหนดโทษคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมว่า การที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๐๗ และวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๐๗ นั้น เป็นการระบุวันกระทำผิดโดยแน่นอนว่า โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดในสองวันนั้นชัดเจนพอที่จำเลยจะเข้าใจได้ จำเลยปลอมเอกสารฉบับใดในวันใด เป็นรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบในภายหลังได้ และจำเลยทั้งสองรับว่าเป็นผู้ทำเอกสารดังกล่าวจริง มิได้หลงต่อสู้แต่ประการใด ฟ้องของโจทก์ข้อนี้จึงไม่เคลือบคลุม และศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่านายเฮง เชื้อดี ได้หลบหนีการควบคุมไปจากเรือนจำแต่วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๐๖ ขณะจำเลยที่ ๒ ควบคุมไปนอกเรือนจำ เมื่อจำเลยที่ ๒ รายงานให้จำเลยที่ ๑ ทราบ จำเลยที่ ๑ ให้ปกปิดเพื่อติดตามตัวนายเฮง เชื้อดี เมื่อติดตามไม่ได้ จำเลยทั้งสองมิได้จัดการอย่างไรปกปิดไว้ มิได้รายงานต่อผู้บัญชาการเรือนจำตามระเบียบ การกระทำของจำเลยที่ ๒ เป็นการละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๓ กระทงหนึ่ง และเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันลงชื่อนายเฮง เชื้อดี ในบัญชีรายชื่อผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษเสนอต่อคณะกรรมการ คณะกรรมการฯ หลงเชื่อว่านายเฮง เชื้อดี ยังมีตัวอยู่ในเรือนจำ ลงมติลดโทษให้ ๑ ใน ๕ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๒(๑) อีกกระทงหนึ่ง ครั้นเมื่อครบกำหนดที่นายเฮง เชื้อดี จะพ้นโทษตามหมายจำคุกของศาล จำเลยทั้งสองได้ร่วมกัน (๑) สลักหลังหมายจำคุกของนายเฮง เชื้อดี รับรองว่าได้ตรวจสอบถูกต้องแล้วปล่อยตัวในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๐๗ โดยจำเลยที่ ๒ เป็นคนพิมพ์ จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ลงนาม (๒) ร่วมกันปลอมเอกสารหมาย จ.๑๖ ใบสุทธิของนายเฮง เชื้อดี โดยจำเลยที่ ๒ ลงลายพิมพ์นิ้วมือของตนเองแทนนายเฮง และจำเลยที่ ๑ ลงนามตรวจรับรอง (๓) จำเลยที่ ๒ ลงลายพิมพ์นิ้วมือของตนแทนนายเฮง เชื้อดี ในช่องเมื่อพ้นโทษในทะเบียนรายตัวผู้ต้องคุมขังของนายเฮง เชื้อดี (๔) จำเลยทั้งสองร่วมกันทำหนังสือจากผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดตากถึงนายอำเภอสามเงา โดยจำเลยที่ ๒ เป็นคนพิมพ์ จำเลยที่ ๑ เป็นคนตรวจรับรอง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๑, ๒๖๔, ๒๖๕ อีกกระทงหนึ่ง พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓ กระทงหนึ่ง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๒(๑) กระทงหนึ่ง และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๑, ๒๖๔, ๒๖๕ อีกกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ คนละ ๒ ปี.