โจทก์ฟ้องว่า เมื่อกลางปี พ.ศ. 2496 โจทก์ตกลงรับซื้อที่ดินโฉนดที่ 492จากนางสุนีรัตน์ โจทก์ได้ปลูกสร้างโกดังขึ้นบนที่ดินแปลงนี้ เดือนสิงหาคม 2498โจทก์ได้แจ้งให้นางสุนีรัตน์ทราบว่าโจทก์จะขอใส่ชื่อพลโทสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ยศขณะนั้น) ถือกรรมสิทธิ์ไว้แทนโจทก์ชั่วคราวเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2498 ทั้งนี้พลโทสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มิได้มีส่วนออกเงินซื้อหรือก่อสร้างเดือนธันวาคม 2507จำเลยที่ 2 ได้มีหนังสือถึงโจทก์อ้างว่าโจทก์ครอบครองที่ดินหรืออาคารในโฉนดที่ 492 ซึ่งตกเป็นของรัฐโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี เรื่องให้ทรัพย์สินในกองมรดกของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และทรัพย์สินของท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์ ตกเป็นของรัฐ ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2507 โจทก์ได้ส่งตัวแทนไปชี้แจงให้จำเลยที่ 2 ทราบว่ากรรมสิทธิ์อันแท้จริงในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทเป็นของโจทก์ ต่อมาเดือนเมษายน 2509 ดร.เสริม วินิจฉัยกุลผู้แทนจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทโจทก์ได้ชี้แจ้งให้เอารายการที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทออกจากสินทรัพย์ในบัญชีงบดุลย์ของบริษัทโจทก์ขอให้สั่งแสดงว่าที่ดินโฉนดที่ 492 รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การร่วมกันว่า โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ซื้อที่พิพาทหากโจทก์จะได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับที่รายนี้ก็เป็นการทำแทนจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นประธานกรรมการบริษัทโจทก์ ความจริงจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้ซื้อ โจทก์มีคนต่างด้าวเป็นกรรมการบริษัทอยู่ด้วยโจทก์จึงไม่อาจถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ จำเลยที่ 2 มิได้ทำการอันใดเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลแพ่งพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ที่ดินโฉนดที่ 492 รวมสิ่งปลูกสร้างเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ข้อเท็จจริงแห่งคดีมีว่า ที่ดินที่พิพาทรายนี้เดิมเป็นของนางสุนีรัตน์ ได้ขายให้บริษัทโจทก์ โจทก์ได้ชำระเงินให้นางสุนีรัตน์ครบถ้วน แต่ยังไม่ได้โอนโฉนดให้กัน เพราะติดขัดที่นายสหัส มหาคุณ กรรมการคนหนึ่งของบริษัทโจทก์เป็นคนต่างด้าว ในที่สุดคณะกรรมการบริษัทโจทก์จึงตกลงกันให้โอนที่พิพาทใส่ชื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ทำการโอนโฉนดมาเป็นชื่อของจอมพลสฤษดิ์เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2498 บริษัทโจทก์ได้รื้อสิ่งปลูกสร้างเดิมออกและปลูกสร้างโกดังขึ้นใหม่ ครั้นวันที่ 13 มกราคม 2502 ได้มีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 49 ให้ยกเลิกความในมาตรา 97(5)แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ก็มิได้มีการโอนโฉนดเป็นชื่อของบริษัทโจทก์ โฉนดยังคงเป็นชื่อจอมพลสฤษดิ์อยู่ตลอดมาจนจอมพลสฤษดิ์ ถึงอสัญกรรมจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีอาศัยอำนาจตามธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร มาตรา 17 มีคำสั่งให้ทรัพย์สินในกองมรดกจอมพลสฤษดิ์ตกเป็นของรัฐ ดังนี้ โจทก์เป็นผู้ออกเงินซื้อที่พิพาทและทำการก่อสร้างโกดังขึ้นบนที่แปลงนี้เพื่อใช้ในกิจการของบริษัทโจทก์ เหตุที่โจทก์ไม่ลงชื่อเป็นผู้ซื้อในโฉนดเป็นเพราะกรรมการคนหนึ่งในบริษัทโจทก์เป็นบุคคลต่างด้าว ซึ่งตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 97 บัญญัติให้โจทก์มีฐานะเสมือนคนต่างด้าวในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน กรรมการบริษัทโจทก์จึงตกลงให้โอนโฉนดจากผู้ขายมาเป็นชื่อจอมพลสฤษดิ์ ศาลฎีกาเห็นว่าตามรูปคดีต้องถือว่าจอมพลสฤษดิ์ได้มาซึ่งที่ดินในฐานะเป็นเจ้าของแทนนิติบุคคลซึ่งกฎหมายให้ถือเสมือนคนต่างด้าว ปัญหาจึงมีว่าโจทก์จะเรียกร้องเอาที่ดินมาเป็นกรรมสิทธิ์ของตนได้หรือไม่ ปัญหาข้อนี้ได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่าโจทก์เรียกร้องเช่นนั้นมิได้ที่พิพาทรายนี้ตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 96
ปัญหาต่อไปมีว่า หลังจากโจทก์ซื้อที่พิพาทใส่ชื่อจอมพลสฤษดิ์ในโฉนดแล้วต่อมาได้มีคำสั่งของคณะปฏิวัติฉบับที่ 49 ยกเลิกประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 97(5) เสียเช่นนี้ จะมีผลให้โจทก์กลับมีสิทธิเรียกร้องเอาที่พิพาทมาเป็นของตนได้หรือไม่ ปัญหานี้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำสั่งของคณะปฏิวัติฉบับที่ 49 ซึ่งยกเลิกประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 97 (5) นั้น ไม่มีผลย้อนหลัง โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะเรียกร้องเอาที่พิพาทมาเป็นของตนได้แต่อย่างใด ผลต่อไปก็จะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 96 ซึ่งเป็นบทบัญญัติในเรื่องนี้โดยเฉพาะ กล่าวคือ จะต้องให้อธิบดีกรมที่ดินจำหน่ายที่พิพาทนี้เสีย
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น