โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณ ๖๐ ปีก่อนฟ้องโจทก์ได้แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภริยากับนายเลาะ ต่างไม่มีสินเดิมมาก่อน มีบุตรด้วยกัน ๑ คนคือนายหวังโจทก์และนายเลาะทำมาหาได้โดยซื้อที่ดินไว้ ๑ แปลงเนื้อที่ ๒๘ ไร่ คือที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๒๕ มีชื่อนายเลาะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง ต่อมานายเลาะได้จำเลยเป็นภรรยา โจทก์จึงแยกไปอยู่กับบุตร ต่อมานายเลาะตาย โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ครึ่งหนึ่ง จำเลยว่านายเลาะยกให้จำเลยก่อนตายแล้วนายเลาะยกให้จำเลยโดยโจทก์ไม่ยินยอมด้วย จึงขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการโอนเฉพาะส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นภรรยาของนายเลาะ แต่เป็นภรรยาของคนอื่น ที่ดินตามฟ้องเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๒๕ ให้โจทก์ ๑๓ ไร่ ๒ งาน ๙๒ ตารางวา หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์ ๙ ไร่ ๖๑ ๑/๓ ตารางวา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์เป็นภรรยาชอบด้วยกฎหมายของนายเลาะก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๗๘ ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างนายเลาะและโจทก์ โจทก์และนายเลาะแยกกันอยู่ ไม่ปรากฏว่าได้หย่าขาดจากกัน เมื่อนายเลาะตายโจทก์รับว่าทั้งโจทก์และนายเลาะต่างไม่มีสินเดิมด้วยกัน ดังนั้นสินสมรสจึงต้องแบ่งเป็น๓ ส่วน โจทก์ได้ ๑ ส่วน นายเลาะได้ ๒ ส่วน ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๖๕/๒๔๙๕
พิพากษายืน