โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินมือเปล่าตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2482 ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่จำนวน 2 ไร่ เป็นที่ดินของโจทก์และเป็นที่ดินมรดกของพันตรีไพรัชให้เพิกถอนเอกสารสิทธิหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2482 ซึ่งออกทับที่ดินโจทก์และกองมรดกของพันตรีไพรัช หากจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 24 ในประเด็นโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นว่า โจทก์ฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน แต่ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกินจำนวน 5,050 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งว่า จำเลยทั้งสองได้ซื้อที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2482 ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ 2 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทคดีนี้จากนายเชียรและพันตำรวจตรีพยุงเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2543 และได้ยื่นคำขอต่อทางราชการให้ออกโฉนดที่ดิน แต่โจทก์ยื่นคำคัดค้านอ้างเหตุเป็นที่ดินของโจทก์ครอบครองต่อเนื่องมาจากพันตรีไพรัชผู้เป็นสามี แต่ทางราชการสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานีมีคำสั่งไม่รับคำคัดค้าน โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้และเดิมนายเชียรเคยฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นให้ขับไล่โจทก์คดีนี้และบริวารออกจากที่ดินเนื้อที่ 1 ไร่เศษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินพิพาทคดีนี้ คดีถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยว่าที่ดินเนื้อที่ 1 ไร่เศษ ตามฟ้องในคดีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินพิพาทคดีนี้และเป็นของนายเชียร พิพากษาห้ามจำเลย (โจทก์คดีนี้) และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิม โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของพันตรีไพรัชผู้วายชนม์และให้การกับนำสืบต่อสู้ในคดีเดิมที่ถูกนายเชียรฟ้องว่า จำเลยและพันตรีไพรัชร่วมกันซื้อที่ดินตามฟ้องในคดีนั้น แต่คดีถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของนายเชียร คำพิพากษาในคดีเดิมจึงผูกพันคู่ความคือนายเชียรและจำเลย (โจทก์คดีนี้) ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ดังนี้ แม้คดีนี้โจทก์จะฟ้องในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการมรดกของพันตรีไพรัชซึ่งถือได้ว่าเป็นบริวารของจำเลยในคดีเดิม โจทก์ก็คือคู่ความฝ่ายจำเลยในคดีเดิมนั่นเอง ส่วนจำเลยทั้งสองซึ่งร่วมกันซื้อที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2482 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทคดีนี้จากนายเชียรและพันตำรวจตรีพยุง จำเลยทั้งสองก็คือผู้รับโอนสิทธิจากคู่ความในคดีเดิมคือนายเชียรซึ่งเป็นฝ่ายโจทก์ ฉะนั้น เมื่อคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2482 ตามฟ้องเป็นของจำเลยทั้งสองในฐานะผู้รับโอนสิทธิจากนายเชียรอันจะพึงส่งผลให้จำเลยทั้งสองมีสิทธิขอให้ทางราชการออกโฉนดที่ดินให้ได้หรือไม่ จึงเป็นคดีที่มีประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้ย่อมเป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.