โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้าง ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่ง อัตราค่าจ้างเดิม และนับอายุงานต่อเนื่อง กับจ่ายค่าเสียหายเท่ากับอัตราค่าจ้างเดิมเดือนละ 41,692 บาท นับแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรับโจทก์กลับเข้าทำงาน
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2533 จำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้าง ต่อมาวันที่ 21 สิงหาคม 2550 ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีคำพิพากษาว่าโจทก์มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 ประกอบมาตรา 365 (3) ลงโทษจำคุก 3 เดือน และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุก ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี วันที่ 21 เมษายน 2552 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอ่านคำสั่งศาลฎีกา ที่ไม่รับฎีกาของโจทก์ คดีถึงที่สุด ต่อมาวันที่ 26 สิงหาคม 2554 จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุโจทก์ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 มาตรา 9 (5) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2550 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2550 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2550 แล้ววินิจฉัยว่า มาตรา 9 (5) ที่แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของพนักงานรัฐวิสาหกิจว่า ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ไม่ว่าจะได้รับโทษจำคุกจริงหรือไม่ เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ หรือพ้นโทษหรือพ้นระยะเวลาการรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษแล้วแต่กรณีเกิน 5 ปี พนักงานของรัฐวิสาหกิจจะต้องมีคุณสมบัติหรือไม่มีลักษณะต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวเมื่อกฎหมายนั้นใช้บังคับ คือต้องไม่เป็นผู้เคยต้องโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกไม่ว่าจะได้รับโทษจริงหรือไม่ในช่วงเวลาที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ กรณีมิใช่การบังคับใช้กฎหมายอาญาย้อนหลังเป็นโทษแก่โจทก์ และมิใช่การกำหนดโทษในทางอาญา ระเบียบบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล ตอนที่ 1 ข้อ 40 กำหนดให้พนักงานพ้นสภาพการเป็นพนักงานด้วยสาเหตุต่างๆ ดังนี้ 40.4 เป็นผู้ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 ซึ่งเมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัตินี้ย่อมถือว่าระเบียบดังกล่าวถูกแก้ไขเพิ่มเติมไปในตัว หาจำต้องแก้ไขเพิ่มเติมในข้อระเบียบส่วนนี้อีกไม่ เพราะพระราชบัญญัติใหม่ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมถือเป็นส่วนหนึ่งของพระราชบัญญัติเดิมจึงไม่จำต้องแจ้งให้แก่พนักงานของจำเลยทราบ ดังนั้นการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุโจทก์ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 และระเบียบบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล ตอนที่ 1 ข้อ 40.4 จึงชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างฉบับลงวันที่ 26 สิงหาคม 2554 จำเลยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยจะยกเหตุที่โจทก์ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในการเป็นพนักงานตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 มาตรา 9 (5) ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2550 มาเป็นเหตุเลิกจ้างโจทก์ได้หรือไม่ เห็นว่า จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ การกำหนดคุณสมบัติของพนักงานและเหตุที่พนักงานจะต้องพ้นจากตำแหน่งต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 ซึ่งมาตรา 9 (5) ที่แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดคุณสมบัติพนักงานและเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งพนักงานเพื่อใช้เป็นแนวทางเดียวกันจึงมีผลใช้บังคับแก่รัฐวิสาหกิจและพนักงานโดยทั่วถึงกันตามวันที่บทกฎหมายดังกล่าวกำหนด มิใช่เป็นบทกฎหมายกำหนดความผิดที่มีโทษในทางอาญาที่จะต้องใช้ขณะกระทำความผิดและต้องห้ามมิให้ใช้บังคับย้อนหลังไปก่อนการกระทำความผิดดังที่โจทก์อุทธรณ์ เมื่อมาตรา 9 (5) ที่แก้ไขเพิ่มเติมมีผลใช้บังคับในวันที่ 6 กันยายน 2550 อันเป็นวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ย่อมมีผลใช้บังคับแก่จำเลยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจและโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานด้วย กล่าวคือโจทก์ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม โดยไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ไม่ว่าจะได้รับโทษจำคุกจริงหรือไม่ เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ หรือพ้นโทษ หรือพ้นระยะเวลาการรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษแล้วแต่กรณีเกิน 5 ปี หากเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 9 (5) จะเป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่งพนักงานตามมาตรา 11 (3) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อได้ความว่าศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาพิพากษาว่าโจทก์มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 ประกอบมาตรา 365 (3) ลงโทษจำคุก 3 เดือน และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี วันที่ 21 เมษายน 2552 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ต่อมาวันที่ 26 สิงหาคม 2554 ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอ่านคำสั่งศาลฎีกาที่ไม่รับฎีกาของโจทก์ คดีถึงที่สุด โจทก์จึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในการเป็นพนักงานตามมาตรา 9 (5) ที่แก้ไขเพิ่มเติม อันเป็นเหตุให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งพนักงานตามมาตรา 11 (3) ดังนั้นจำเลยจึงยกเหตุที่โจทก์ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในการเป็นพนักงานตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 มาตรา 9 (5) ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2550 มาเป็นเหตุเลิกจ้างโจทก์ได้ คำสั่งเลิกจ้างชอบแล้วจึงไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งเลิกจ้าง ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน