โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๗๖,๒๐๔.๔๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๗๔,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๗๔,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๔๐) ต้องไม่เกินจำนวน ๒,๒๐๔.๔๓ บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ ๖๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาในคำพิพากษาศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาร้อยเอ็ด ลงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๔๐ จำนวน ๗๔,๐๐๐ บาท ต่อมาโจทก์นำเช็คพิพาทดังกล่าวไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารผู้จ่ายปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คและใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ. ๒ และ จ. ๓ ตามลำดับ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยจะต้องรับผิดตามเช็คหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ ๗๔,๐๐๐ บาท และสั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้โจทก์ไว้เพื่อชำระหนี้กู้ยืม จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์และไม่เคยมอบเช็คให้แก่โจทก์ โจทก์กับจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน จึงไม่มีมูลหนี้ที่โจทก์จะเรียกให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คพิพาทได้ ตามคำฟ้องและคำให้การประเด็นข้อพิพาทมีเพียงว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้กู้ยืมหรือไม่ ไม่มีประเด็นข้อพิพาทเรื่องโจทก์รับโอนเช็คมาจากผู้อื่นโดยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา ๙๑๖ ดังนั้นที่ศาลล่างทั้งสองยกมาตรา ๙๑๖ ขึ้นมาปรับ แล้ววินิจฉัยให้จำเลยรับผิดโดยอาศัยบทมาตราดังกล่าวจึงไม่ถูกต้อง เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำฟ้อง คำให้การ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยเพียงว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์หรือไม่ ตามทางนำสืบโจทก์คงมีเพียงตัวโจทก์ปากเดียวเบิกความลอย ๆ ว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์และออกเช็คพิพาทให้โจทก์ไว้ แต่กลับได้ความจากคำเบิกความโจทก์ว่าจำเลยมิได้นำเช็คพิพาทมามอบให้โจทก์ ผู้ที่มอบเช็คของจำเลยให้โจทก์ คือ เพื่อนพนักงานที่ทำงานด้วยกันเป็นผู้นำเช็คมามอบให้ โดยโจทก์ไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร เพิ่งจะเบิกความตอบคำถามค้านว่า ผู้นำเช็คพิพาทมามอบคือ นายทองบุญ บุญวิเศษ ทำงานอยู่ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาเดียวกันกับโจทก์ นายทองบุญได้ลาออกและหลบหนีไปแล้ว และกลับเบิกความว่านายทองบุญเป็นผู้รับเงิน และมอบเช็คให้ไว้เป็นประกัน โจทก์ไม่เคยติดต่อกับจำเลยก่อนที่จะมีการมอบเงินให้นายทองบุญไป ครั้นเช็คถึงกำหนด โจทก์ก็ติดต่อทวงถามให้นายทองบุญนำเงินมาชำระ เพิ่งจะทวงถามเอาจากโจทก์ เมื่อนายทองบุญได้ออกไปจากธนาคารกรุงไทย จำกัด แล้ว ข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของโจทก์เองกลับแสดงว่า จำเลยมิได้กู้ยืมเงินโจทก์ เช็คพิพาทนายทองบุญมอบให้โจทก์ไว้เพื่อเป็นหลักประกัน ทั้งก่อนการกู้ยืมและเช็คถูกปฏิเสธแล้วโจทก์ไม่เคยติดต่อและทวงถามให้จำเลยชำระเงิน เพิ่งมาทวงถามเมื่อนายทองบุญได้หลบหนีไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เองจึงมีการทวงถามจากจำเลยหลังเช็คถึงกำหนดแล้วประมาณ ๒ เดือนเศษ สรุปแล้วโจทก์นำสืบได้ไม่สมฟ้อง เมื่อจำเลยเบิกความยืนยันว่าจำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์จึงต้องฟังว่าจำเลยมิได้กู้ยืมเงินโจทก์ดังฟ้อง โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามเช็คพิพาท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรับผิดนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.