โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อแตะเข้าครอบครองที่ดินโฉนดที่ ๑๖๘๐ มีเนื้อที่ประมาณ ๙๐๐ ตารางวาจากนางไสว โอนโฉนดกันแล้วโจทก์ปกครองตลอดมากว่า ๑๐ ปี ต่อมา จำเลยซื้อที่ดินโฉนดที่ ๑๖๘๑ ซึ่งอยู่ติดต่อกับที่โฉนดที่ ๑๖๘๐ แล้ว เข้าปกครองตามเขตที่ผู้ขายปกครองมา ครั้นเจ้าพนักงานรังวัดจึงปรากฎว่าเขตที่ดิน ๒ โฉนดผิดจากเขตจริงที่ต่างฝ่ายต่างได้ปกครองมา โจทก์ขอให้แก้เขตให้ถูกต้องตามที่ปกครองตามจริง จำเลยไม่ยอม โจทก์จึงขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินที่โจทก์ซื้อแลปกครองมาเป็นกรรมสิทธิของโจทก์
จำเลยต่อสู้ว่าและฟ้องแย้งให้ขับไล่โจทก์ออกจากเขตโฉนดที่ ๑๖๘๑ ของจำเลย
ข้อเท็จจริงคงได้ความว่า ทั้งโจทก์และจำเลยเมื่อซื้อที่ดินแล้ว ต่างก็เข้าครอบครองตามเขตที่เจ้าของเดิมได้ครอบครองมา ครั้นเมื่อเจ้าพนักงานรังวัดสอบเขต ปรากฎว่าเขตซึ่งครอบครองไม่ตรงกับเขตที่ในโฉนด คือในเขตที่ตามเครื่องหมาย ๑ ในแผนที่ โจทก์เป็นฝ่ายครอบครอง และเขตตามเครื่องหมาย ๒ และ ๓ จำเลยเป็นฝ่ายครอบครอง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ได้ปกครองที่ดินเครื่องหมาย ๑ ในเขตโฉนด ๑๖๘๑ มากว่า ๑๐ ปี โจทก์จึงได้กรรมสิทธิตามส่วนที่ปกครอง จึงพิพากษาว่าที่ดินโฉนดที่ ๑๖๘๑ ตอนปรากฎในแผนที่วิวาท ๑ เป็นของโจทก์ ภายในเส้นเขตเครื่องหมาย ๒ และ ๓ เป็นของจำเลย ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คงพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้ โจทก์จำเลยต่างเข้าใจโดยสุจริตว่า เขตที่ซึ่งตนซื้อมาตามโฉนดนั้น อยู่ในเขตที่ซึ่งตนได้ใช้สิทธิเข้าครอบครองมา จำเลยจะถือเอาประโยชน์ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๒๙๙,๑๓๐๐ โดยอ้างว่าได้รับโอนสิทธิมาทางทะเบียนย่อมได้เขตที่ตามโฉนดย่อมไม่ได้ เพราะเมื่อจำเลยซื้อโฉนดที่ ๑๖๘๑ แล้ว จำเลยก็ได้เข้าครอบครองที่ดินดังนี้ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มิได้คิดจะซื้อที่ตายหมาย ๑ เลย เมื่อจำเลยประสงค์จะได้ที่รายพิพาทหมายเลข ๑ ซึ่งโจทก์ครอบครองมาช้านานแล้วอีก ก็ย่อมเห็นได้ว่าเป็นการไม่สุจริตข้างฝ่ายจำเลย มาตรา ๑๒๙๙,๑๓๐๐ จึงไม่คุ้มครองช่วยเหลือจำเลย
จึงพิพากษายืน