โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน ๗,๘๑๒.๕๐ บาท โดยจำเลยผิดนัดไม่ชำระตามสัญญากู้โจทก์นำพนักงานศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยหลายครั้งแล้วแต่ส่งไม่ได้ในที่สุดศาลสั่งให้ส่งใหม่ถ้าไม่พบให้ปิดหมายที่บ้านจำเลยเมื่อวันที่ ๔ ก.ย. ๙๘ พนักงานศาลได้นำหมายและสำเนาฟ้องให้จำเลยอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่พบจำเลย นายเชยบิดาจำเลยไม่ยอมรับหมายแทน พนักงานศาลจึงปิดหมายไว้ในวันนั้น ต่อมาวันที่ ๒๗ ก.ย. ๙๘ จำเลยยื่นคำร้องขอผัดยื่นคำให้การต่อไปอีก ๑๐ วัน ศาลสั่งอนุยษตให้ผัดยื่นคำให้การได้ ๓ วัน จำเลยทราบคำสั่งในวันนั้นแล้ว ครั้นวันที่ ๑ ต.ค. ๙๘ จำเลยทำคำให้การแก้คดีมายื่นต่อศาล
ศาลชั้นต้นสั่งว่าไม่ได้ยื่นภายในกำหนด ไม่รับเป็นคำให้การ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการส่งหมายเรียกให้แก้คดีโดยวิธีปิดจดหมายนั้นตาม วิ.แพ่ง ม.๗๙ กำหนดให้เวลาล่วงแล้ว ๑๕ วันจึงมีผล เรื่องนี้การนับระยะเวลาล่วงพ้น ๑๕ วัน เริ่มนับแต่วันที่ ๕ ก.ย.๙๘ แล้วเริ่มนับกำหนดยื่นำคให้การภายใน ๘ วันตั้งแต่วันที่ ๒๑ ก.ย.๙๘ ครบในวันที่ ๒๗ ก.ย.๙๘ แต่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผัดยื่นคำให้การได้ ๓ วัน โดยมิได้ระบุว่านับแต่วันได้ จึงนับต่อจากวันสุดท้ายแห่งระยะเวลาเดิมคือเริ่มนับ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๒๘ ก.ย.๙๘ จำเลยยื่นำคให้การในวันที่ ๑ ต.ค.๙๘ พ้นกำหนดแล้วจึงพิพากษายืน
จำเลยฎีกาต่อมา ศาลฎีกาปรีกษาแล้วเห็นว่การส่งหมายเรียกโดยการปิดหมายในคดีนี้จำเลยจะต้องยืนคำให้การแก้คดีภายในวันที่ ๒๗ ก.ย.๙๘ ดังที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดและถูกต้องแล้ว เมื่อจำเลยได้รับอนุญาตจาก ศาลให้ผัดยื่นคำให้การได้อีก ๓ วันจำเลยจะยื่นคำให้การได้ภายในวันที่ ๓๐ ก.ย.๙๘ เป็นที่สุด แต่จำเลยได้ยื่นคำให้การในวันที่ ๑ ต.ค.๙๘ ล่วงพ้นกำหนดไปแล้ว ๑ วัน ศาลชั้นต้นไม่รับคำให้การของจำเลยนั้นชอบแล้วจึงให้ยกฎีกาจำเลยโดยพิพากษายืน.