โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองสมคบกันปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือส่วนหนึ่งส่วนใดซึ่งหนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำอันเป็นเอกสารสิทธิ โดยจำเลยทั้งสองปลอมลายมือชื่อโจทก์ ทั้งชื่อตัวและชื่อสกุลลงในช่องผู้จะขาย มีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในช่องผู้จะซื้อโดยมีเจตนาเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ทำให้โจทก์เสียหาย ต่อมาจำเลยทั้งสองสมคบกันใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิที่จำเลยทั้งสองปลอมขึ้นดังกล่าวมาฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้น ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1662/2529ของศาลชั้นต้น ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264, 265, 268, 91 และนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268, 91 แต่ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268 จำคุกคนละ 2 ปี คำให้การของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา 78ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 1 ปี 4 เดือน นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 28/2529 หมายเลขแดงที่ 1741/2529 ของศาลแขวงนครราชสีมา ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยว่า เกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ 2 ตามฟ้องคดีนี้นางมุยเตียง ศรีแสง ภรรยาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ไว้แล้วศาลชั้นต้นได้ออกหมายจับจำเลยที่ 2 และให้จำหน่ายคดีชั่วคราวได้ตัวจำเลยที่ 2 มาแล้วจะได้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1657/2529 ของศาลชั้นต้น ถือว่าคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ฟ้องโจทก์คดีนี้สำหรับจำเลยที่ 2จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 วรรคสอง(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ส่วนจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักพอฟังลงโทษได้ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2529 จำเลยที่ 2 ได้ฟ้องโจทก์และนางมุยเตียงภรรยาโจทก์ต่อศาลชั้นต้นให้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 40541 ตำบลหัวทะเลอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ของโจทก์และนางมุยเตียงให้จำเลยที่ 2 ตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 ลงวันที่ 1กุมภาพันธ์ 2529 แล้วถอนฟ้องไป ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่1521/2529 ของศาลชั้นต้น ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนั้นนางมุยเตียงได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 2 ปลอมเอกสารหมาย จ.1และใช้เอกสารปลอมดังกล่าว ศาลชั้นต้นได้ออกหมายจับจำเลยที่ 2และจำหน่ายคดีชั่วคราวปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1657/2529ของศาลชั้นต้น แม้โจทก์ไม่ได้ฎีกาว่าฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1657/2529 ของศาลชั้นต้น แต่เมื่อโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามฟ้องด้วยก็จำเป็นต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เป็นฟ้องซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1657/2529 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีอาญาที่มีผู้เสียหายหลายคน ผู้เสียหายแต่ละคนย่อมมีสิทธิฟ้องผู้กระทำผิดได้ การที่ผู้เสียหายคนหนึ่งคนใดฟ้องฟ้องผู้กระทำผิดก่อน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก็ไม่มีบทบัญญัติห้ามผู้เสียหายคนอื่นฟ้องผู้กระทำผิดอีก ส่วนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง(1) ซึ่งได้บัญญัติห้ามโจทก์เมื่อได้ยื่นฟ้องต่อศาลแล้วและคดีอยู่ในระหว่างพิจารณายื่นคำฟ้องจำเลยเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่นอีกก็เป็นการห้ามเฉพาะโจทก์ในคดีเดิมเท่านั้นมิให้ฟ้องจำเลยซ้ำในเรื่องเดียวกัน แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15จะให้นำมาใช้บังคับในคดีอาญาได้ แต่โจทก์ก็ไม่ได้ฟ้องจำเลยที่ 2ในเรื่องเดียวกันกับที่ฟ้องคดีนี้มาก่อน การที่นางมุยเตียงภรรยาโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในเรื่องเดียวกับคดีนี้ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1657/2529 ของศาลชั้นต้น ก็ยังไม่ถือว่าเป็นการฟ้องแทนโจทก์ด้วย ฟ้องของโจทก์คดีนี้เกี่ยวกับจำเลยที่ 2จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีอาญาดังกล่าว"
พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265, 268 ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมเพียงกระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง จำคุกคนละ 2 ปีคำเบิกความของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1741/2529 ของศาลแขวงนครราชสีมา